[ Better, Not Done ]

“โสภณรู้ไหมทำไมพี่มาออกรายการนี้ (หาเงินได้ ใช้เงินเป็นของ aomMONEY)?” พี่โจ้-ธนา เธียรอัจฉริยะถามผมตอนใกล้จบการสัมภาษณ์
.
เหตุผลที่ถามพี่โจ้อธิบายว่าช่วงหลังๆ ไม่ค่อยไปออกรายการสัมภาษณ์แบบนี้สักเท่าไหร่ ด้วยเหตุผลส่วนตัวคือขี้เกียจเจอนักเลงคีย์บอร์ด เกรียนคอมเมนต์ต่างๆ
.
(ซึ่งฟังแล้วก็เข้าใจพอสมควร ขนาดว่าตัวผมเองไม่ได้โด่งดังอะไร เวลาเจอหรือเห็นคอมเมนต์กลุ่มที่ไม่ได้สร้างสรรค์หรือหวังแค่จะแซะแบบไม่ได้ช่วยยกระดับบทสนทนาให้ไปต่อข้างหน้า รู้สึกรำคาญใจพอสมควร)
.
ผมยิ่งอยากรู้เลย
.
“นี่คือเทคนิค Likeability (ความเป็นคนน่ารัก) ชนิดหนึ่งนะ” พี่โจ้อธิบาย “เพราะโสภณเอาหนังสือพี่ไปอ่าน ไปพูดถึงในรายการ พูดถึงเราในทางที่ดี เราก็เลยอยากมาออกรายการ นี่คือทักษะ Likeability อย่างหนึ่งนะ”
.
.
พี่โจ้เสริมประเด็นนี้ว่า “ปรารถนาสิ่งใดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง”


“โซเชียลมีเดียเอาไว้ชมคน ไม่ใช่เอาไว้เกลียด ไม่ได้เอาไว้ด่า เวลาพี่เขียน ไม่ว่าจะเพจส่วนตัวหรืออะไร พี่จะเขียนด้านดีของคน มีใคร ทำอะไรดีเราชมแหลกเลย มันถึงเขา และเขาเห็นคุณค่านะ นี่คือทักษะ Likeable บนโลกออนไลน์แบบหนึ่ง”

พี่โจ้ – ธนา เธียรอัจฉริยะ


พูดถึงคนในทางที่ดี ชมคนอย่างจริงใจ มันจะกลายเป็นเครือข่ายและกัลยาณมิตรที่ช่วยเกื้อหนุนกัน
.
ผมเห็นด้วย
.
โดยเฉพาะการพูดถึงหรือชมคนอื่นๆ ในพื้นที่เปิด (โซเชียลมีเดียก็มีลักษณะแบบนั้น) แต่เวลามีปัญหาหรืออยากเตือนใคร ควรคุยเป็นการส่วนตัวมากกว่า
.
ผมมีเรื่องเล่าให้ฟัง ครั้งหนึ่งเคยเป็นพนักงานบริษัทและเกือบทำโปรเจ็กต์ล่ม
.
ตอนนั้นเป็นพนักงานใหม่ไฟแรงอายุยี่สิบกลาง ๆ กำลังอยากโชว์ความสามารถที่ตัวเองคิดว่า “สุดยอด” ออกมาให้ทุกคนได้เห็น ไม่รู้จักวิธีการทำงานเป็นทีมสักเท่าไหร่เพราะตลอดชีวิตการเลี้ยงดูเติบโตมาในสังคมที่ขับเคลื่อนไปด้วยการแข่งขัน ต้องชนะ ต้องเป็นที่หนึ่ง
.
จนกระทั่งเข้าไปทำงานในบริษัทที่เขามีวัฒนธรรมการทำงานแบบเป็นทีม ไม่มีคำว่าฮีโร่โชว์เดี่ยว แต่ด้วยอีโก้ที่สูงลิ่วดั่งภูเขาเอเวอเรสต์ ใครอยากเข้ามาช่วยผมจะบอกปฏิเสธเสมอ
.
ทีมผมเป็นทีมขนาดเล็ก เวลาประชุมกันก็ร่วมนั่งกันที่โต๊ะ หัวหน้ามักหยิบเอาผลงานที่แต่ละคนทำได้ดีมาพูดให้ทุกคนฟังเสมอก่อนการประชุม แล้วหลังจากนั้นก็แจกจ่ายงานกันตามปกติ ไม่เคยมีการตำหนิกันในที่ประชุมเลย
.
แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น เพราะผมอยากโดดเด่นนี่แหละ
.
รับงานเพิ่มเรื่อย ๆ โดยที่งานเก่ายังทำได้ไม่เสร็จดี ประเมินตัวเองพลาดไปเพราะคิดว่าน่าจะทำได้ ลากทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำติดต่อกันเป็นเดือน ๆ จนกระทั่งตัวเองกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘คอขวด’ ทุกคนในทีมต้องมารอผมเพื่อให้ทำงานให้เสร็จ
.
ผมพยายามยื้อและดื้อจนที่สุดเพราะเชื่อว่าตัวเองเก่งน่าจะทำได้ แต่ผมคิดผิด และสุดท้ายโปรเจ็กต์เกือบพัง
.
หัวหน้าทีมตอนนั้นเรียกผมเข้าไปพบเป็นการส่วนตัว เขาให้ผมเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น ระหว่างนั้นเขาก็นั่งฟังเงียบ ๆ จนจบ ต่อจากนั้นเขาก็บอกว่า “ผมเข้าใจความรู้สึกของโสภณนะ ผมเชื่อว่าโสภณเป็นคนมีความสามารถ แต่เดี๋ยวผมขออนุญาตอธิบายสิ่งที่ผมคิดให้ฟังด้วยนะครับ”
.
หลังจากนั้นเขาก็อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังว่ามันเป็นยังไง ทำไมถึงต้องมีการคุยกันแบบนี้ สิ่งที่เขาคิดว่ามันควรเกิดขึ้นต่อจากนี้คืออะไร แตไม่มีการดุด่า ไม่มีการเสียดสี แค่บอกว่าสิ่งไหนน่าจะดีกับทีมและบริษัทมากที่สุด “ไมเคิล จอร์แดนก็ไม่สามารถเป็นแชมเปี้ยนด้วยตัวคนเดียวได้นะ” เขาพูดทิ้งท้าย
.
นี่คือการคุยกันแบบมิตร ไม่ได้เปิดไพ่ด่า หรือจี้ความผิดพลาด
.
“ปรารถนาสิ่งใดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง” เหมือนที่พี่โจ้บอก
.
หัวหน้าผมเอาไมตรีเข้าแลก ความเป็นมิตร หลังจากนั้นเขาก็ให้ผมตัดสินใจว่าอยากทำยังไงต่อ นั่นเป็นจุดที่ผมเริ่มเปลี่ยนและมองเห็นความสำคัญของทีมมากขึ้น เคารพหัวหน้าคนนั้นมากขึ้นด้วย และมักพยายามเรียนรู้วิธีการบริหารทีมของหัวหน้าคนนั้นมาโดยตลอด
.
ชมในที่แจ้ง ตำหนิให้คุยส่วนตัว ข้อนี้สำคัญมาก เมื่อชมให้ชมอย่างจริงใจ ไม่ใช่เสแสร้ง เมื่อตำหนิตักเตือนเรียกไปคุยกันเงียบ ๆ ไม่ต้องให้โลกรู้หรือทำให้เป็นเรื่องโจ่งแจ้งก็ได้
.
ใช้ได้จริงๆ ไม่ว่าจะสังคมจริงๆ หรือ สังคมเสมือนก็ตาม


ไม่พลาดบทความที่จะช่วยให้คุณเก่งขึ้นจาก Producktivity

เพียงกรอก e-mail ที่ลิงก์นี้ -> Subscribe 📮 <-, รับรองไม่มี Spam แน่นอนครับ

Leave a comment