[ Better, Not Done ]

“เมื่อก่อนพี่โสภณก็เคยติดพวกของหรูๆ เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ?” รุ่นน้องที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเด็กจนมัธยมปลายถามผม
.
“ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งอยู่นะ” ผมตอบ
.
“ทำไมถึงเปลี่ยนละครับ?” เขาถามต่อ
.
คำถามนี้พาผมคิดย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง เด็กที่เกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลางในเมืองเล็กๆ เตี่ยกับแม่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จในระดับพอมีพอกิน ไม่ใช่เศรษฐีพันล้าน แต่ชีวิตถือว่าค่อนข้างสบาย
.
โตมาคนไม่ได้เรียกผมว่า ‘โสภณ’ แต่มักเรียกแซวว่า ‘ลูกเสี่ยบุญทอง’ (ซึ่งเกลียดมาก) และด้วยความเป็นเด็ก ตัวตนของเราไม่ได้แข็งแกร่ง ยังไม่รู้เลยว่า ‘เราคือใคร’ สิ่งที่เราให้คุณค่าในชีวิตคืออะไร ความหมายของชีวิตคืออะไร ชีวิตที่ดีคืออะไร เพราะฉะนั้นมันเลยง่ายมากที่จะหลงไปกับคำพูดที่คนอื่นเรียก
.
📖 ในหนังสือ ‘The Art of Spending Money’ มอร์แกน เฮาเซิล (Morgan Housel) กล่าวไว้ว่า

“ถ้าคุณยังสับสนว่าชีวิตทีดีหน้าตาเป็นยังไง การคิดแค่ว่าชีวิตที่ดีคือ ‘ชีวิตที่มีเงินมากขึ้น’ คือความคิดที่เกิดขึ้นง่ายที่สุด”

Morgan Housel

สิ่งที่ผมต้องการในตอนนั้นคือความรัก ความเคารพ การถูกยอมรับในสังคม จากคนรอบข้าง แต่ไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไง ในเมื่อไม่รู้ การมีชีวิตที่ใช้ของแพง หรูหรา หรือการดูเหมือนมีเงิน มีหน้ามีตาในสังคม เลยกลายเป็นวิธีที่ผมใช้เพื่อร้องเรียกหาสิ่งเหล่านั้นให้กับตัวเอง
.
ซึ่งในระยะสั้นคนอาจจะสนใจเราก็จริง แต่ในระยะยาวคนไม่ได้สนใจ
.
การใช้เงินซื้อของหรูหราอาจจะเป็นทางที่เร็วที่สุดที่ทำให้คนอื่นสนใจคุณ เพราะมันมองเห็นได้ในที่สาธารณะ แค่ใส่อวด ขับโชว์ แค่นี้ก็เจ๋งแล้ว
.
วันนี้คนอาจจะสนใจ แต่พรุ่งนี้ละ? มะรืน? เดือนหน้า?
.
แล้วใครที่สนใจ? คนแปลกหน้าทั้งสิ้น แต่ถ้าเป็นคนใกล้ตัวเรา ที่รักและแคร์เราจริงๆ พวกเขาใช้ของเหล่านี้เพื่อวัดคุณค่าของเราไหม?
.
ภรรยาของผมจะรักผมมากขึ้นไหมถ้าผมขับรถคันใหม่ป้ายแดงเข้ามาในบ้าน แต่ไม่ได้เป็นสามีที่ดี ไม่ได้เป็นพ่อที่ดี ไม่ได้เคารพ รัก และดูแลช่วยเหลือเขา
.
ไม่หรอก
.
เหมือนที่ผมรักและเคารพ เตี่ยกับแม่ ไม่ใช่เพราะพวกเขาใช้ชีวิตหรูหราหรือใช้ของแพงแบรนด์เนม แต่รักและเคารพเขาเพราะทั้งคู่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกๆ เป็นคนดีในสังคม ไม่คดโกงใคร ทำงานหนัก สุจริต แค่นั้น
.
📖 ในหนังสือ Never Enough ของ เจนนิเฟอร์ เบรเฮนี วอลเลซ (Jennifer Breheny Wallace) ผู้เขียนอธิบายว่า “ความภาคภูมิใจ” (pride) มีอยู่สองแบบคือ

  1. Intrinsic pride : ความภาคภูมิใจที่เกิดจากข้างใน เมื่อเราภูมิใจในตัวเองอย่างแท้จริงจากสิ่งที่เราเป็นหรือสิ่งที่เราทำสำเร็จ
    .
  2. Extrinsic (hubristic) pride : ความภาคภูมิใจที่เกิดจากภายนอก หรือจากมุมมองของคนอื่น ที่บอกเราว่าควรรู้สึกยังไง ควรภูมิใจเมื่อได้ครอบครองสิ่งใด

วอลเลซ ชี้ว่า พฤติกรรมการใช้จ่ายของคนยุคใหม่จำนวนมากเกิดจากการไล่ล่าความภาคภูมิใจแบบที่สอง หรือการพยายามทำให้คนอื่นยอมรับผ่านสิ่งของหรือสถานะภายนอก เช่น เสื้อผ้า รถ หรือบ้าน แต่ความรู้สึกภาคภูมิใจที่เติมเต็มและยั่งยืนจริง ๆ กลับมาจากแบบแรก คือการรู้สึกดีในตัวเองโดยไม่ต้องอาศัยการยืนยันจากใคร
.
นักจิตวิทยา ทิม แคสเตอร์ (Tim Kasser) เสริมว่า คนที่ให้คุณค่ากับความภาคภูมิใจแบบภายนอกมากเกินไป มัก “ไม่มีพื้นที่ในใจ” เหลือพอที่จะไล่ตามความภาคภูมิใจแบบภายใน ซึ่งหมายความว่า ยิ่งเราให้ความสำคัญกับการถูกมองว่าดีจากคนอื่นมากเท่าไร เราก็ยิ่งห่างไกลจากความรู้สึกภูมิใจในตัวเองอย่างแท้จริงมากขึ้นเท่านั้น
.
การถูกมองว่าเป็น ‘ลูกเสี่ยบุญทอง’ กลายเป็น ‘ฉลาก’ ติดตัวผมในช่วงหนึ่ง (ที่อันตรายมาก และอยากให้ผู้ใหญ่ทุกคนระวังเรื่องแบบนี้ในการไปเรียกเด็กๆ อย่าไปแปะฉลากให้กับพวกเขา) ด้วยความที่ยังขาดประสบการณ์ชีวิต ยังไม่ได้มีสติปัญญา หรือรู้ว่าตัวเองเป็นใคร การใช้ชีวิตที่ดูหรูหราอู้ฟู่จึงกลายเป็นทางเลือกที่ผมใช้เพื่อเรียกร้อง ‘ความสนใจ’ จากคนอื่นอย่างผิดๆ
.
แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยน?
.
ตอนไปเรียนต่างประเทศ ผมต้องใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายมาก เพราะค่าครองชีพสูงสุดๆ (ตอนนั้นดอลลาร์ = 45-46 บาท เตี่ยออกค่าเรียนกับค่าที่พักให้) เลยต้องทำงานพิเศษหลายอย่างมาก ตั้งแต่ติวเตอร์ (คณิตศาสตร์, ฟิสิกส์, เขียนโปรแกรม) ทำงานห้องสมุด ร้านหนังสือ ร้านขายของชำ และแน่นอนร้านอาหารไทย
.
แต่ในชีวิตที่เรียบง่ายนั้น ผมกลับมีเพื่อนที่ดีมากมาย หัวหน้าที่น่ารัก คุณครูที่ไว้วางใจ
.
พวกเขารักและเคารพผมในตัวตนของ ‘โสภณ’
.
ในฐานะเพื่อนที่ดี แบ่งปัน ไว้ใจได้ ชอบช่วยเหลือและเคารพคนอื่น
.
ในฐานะพนักงานที่ดี ที่ทำงานหนัก ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบ
.
ในฐานะนักเรียนที่ดี เฉลียวฉลาด อยากรู้อยากเห็น และไม่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ
.
สิ่งเหล่านี้มีค่ามากๆ เป็นความภาคภูมิใจที่เกิดจากข้างใน เป็นการได้รับความรักโดยที่ผมเป็นคนที่น่ารักจริงๆ ไม่ใช่เพราะได้รับการสนใจหรือเคารพจากการใช้ชีวิตหรูหรา
.
กรอบการใช้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปเลยหลังจากนั้น
.
🪴 คอลัมนิสต์ เดวิด บรูกส์ (David Brooks) เคยแบ่ง “คุณค่าของชีวิต” ออกเป็น 2 ประเภท

  1. Resume virtues หรือ “คุณค่าบนเรซูเม่” เช่น เงินเดือน ตำแหน่งงาน ทรัพย์สิน หรือของใช้หรูหรา สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คนอื่นเห็นจากภายนอก และมักถูกใช้วัด “ความสำเร็จ” ในสังคม
    .
  2. Eulogy virtues หรือ “คุณค่าที่คนจะพูดถึงคุณในงานศพ” หมายถึง ความเคารพ ความอบอุ่น และความรักที่ผู้อื่นมีต่อเรา ซึ่งสะท้อนว่าชีวิตเรามีความหมายกับคนรอบข้างมากแค่ไหน

แนวคิดนี้เป็นจุดตั้งต้นสำคัญในการทบทวนว่า เรากำลังไล่ตามอะไรในชีวิต
.
สิ่งที่ทำให้ดูดีในสายตาคนอื่น หรือสิ่งที่ทำให้เราถูกจดจำอย่างมีคุณค่า
.
หรือพูดอีกอย่างคือ เราอยากให้คนพูดถึงเรายังไงในงานศพ ก็จงใช้ชีวิตแบบนั้น
.
วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) เคยกล่าวในทำนองเดียวกันว่า “เมื่อถึงวัยของผม คุณจะวัดความสำเร็จในชีวิตได้จากจำนวนคนที่คุณอยากให้รักคุณ และพวกเขารักคุณจริง ๆ มากแค่ไหน”
.
เขาอธิบายต่อว่า ความรักเป็นสิ่งที่ “ซื้อไม่ได้” คุณอาจซื้อเซ็กซ์ ซื้อคำชม หรือซื้อคำพูดสรรเสริญได้ แต่ไม่มีเงินจำนวนใดในโลกที่ซื้อความรักแท้จากใจใครได้
.
เพราะสิ่งเดียวที่จะทำให้คุณได้รับความรัก คือ “การเป็นคนที่น่ารักพอจะถูกรัก”
.
[ #เก่งแบบเป็ด 🦆]


ไม่พลาดบทความที่จะช่วยให้คุณเก่งขึ้นจาก Producktivity

เพียงกรอก e-mail ที่ลิงก์นี้ -> Subscribe 📮 <-, รับรองไม่มี Spam แน่นอนครับ

Leave a comment