[ Better, Not Done ]

หากให้จินตนาการถึง ‘อนาคตที่มีความสุข’ ภาพในหัวของคุณเป็นยังไง?
.
เราอาจจะคิดถึงบ้านหลังขนาดพอดีๆ ครอบครัวที่เรารักนั่งทานข้าวด้วยกัน บางทีไปเดินเล่นข้างทะเล หรืออยู่ที่ดิสนีย์แลนด์กันทั้งครอบครัว ฯลฯ ต่างคนต่างกันไป
.
แต่เราแทบไม่เคยนึกภาพเงินก้อนใหญ่ในบัญชี ความร่ำรวยหรูหราอะไรแบบนั้น
.
เราคิดถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่พอใจและสุขสงบเมื่อได้ครอบครองสิ่งเหล่านั้นมากกว่า เราใฝ่หาความพอใจ ไม่ใช่ตัววัตถุ และนี่เองที่อธิบายความขัดแย้งในชีวิตสมัยใหม่ ทำงานหนัก หาเงิน ไล่ตามของใหม่ เมื่อได้มา เราก็มักอยากได้ “ของถัดไป” แทบจะทันที
.
ผลคือความสุขหนีห่างอย่างเงียบๆ ไม่ว่าเราจะวิ่งเร็วเท่าใดก็ตาม เป็นสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า ‘การปรับตัวตามสุขภาวะ’ (Hedonic adaptation) คือปรากฏการณ์ที่ผู้คนกลับสู่ระดับความสุขพื้นฐานที่ค่อนข้างคงที่ แม้จะเผชิญกับเหตุการณ์สำคัญในชีวิต ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม (แม้งานวิจัยรุ่นหลังจะเสนอว่าเราปรับตัวไม่เท่ากันในแต่ละมิติ แต่แก่นเรื่อง “ความเคยชิน” ยังทรงพลัง)
.
ระหว่างที่ มอร์แกน เฮาเซิล ค้นคว้าหาข้อมูลสำหรับหนังสือเล่มใหม่ ‘The Art of Spending Money’ เขาค้นพบสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องเงินว่าที่จริงแล้วเราสามารถมีความสุขได้ โดยไม่ต้องวิ่งไล่ตาม ‘ของชิ้นต่อไป’ ที่ดีกว่า แพงกว่า และที่จริงแล้วยิ่งวิ่งไล่ตามยิ่งทำให้เรามีความสุขน้อยลงด้วย


🎯 ซึ่งเขาบอกว่ามี 4 วิธี ที่จะช่วยเพิ่มความสุขในชีวิต โดยใช้เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

  1. ความสวยงามในสิ่งธรรมดา
    .
    เกือบศตวรรษก่อน มาร์แซล พรูสต์ (Marcel Proust)​ นักเขียนชาวฝรั่งเศส เสนอวัคซีนต้านอาการ “อยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด” ได้อย่างงดงามโดยชวนให้มองงานของ ฌ็อง ซีเมอง ชาร์แด็ง (Jean Siméon Chardin)​ จิตรกรที่ยกระดับสิ่งของธรรมดาๆ อย่าง ลูกแพร์ เหยือกในครัว ธรรมชาติ หรือถ้วยน้ำ ให้กลายเป็นความสวยงาม
    .
    เขาเตือนเราว่า อย่ามัวแต่ใฝ่ฝันถึงชีวิตที่ยังไม่มี จนลืมเห็นคุณค่าของชีวิตที่อยู่ตรงหน้า ดังที่พรูสต์เขียนไว้ว่า “เมื่อคุณเดินอยู่ในห้องครัว จงบอกตัวเองว่านี่ช่างน่าสนใจ น่าทึ่ง และงดงามเหมือนภาพของชาร์แด็ง”
    .
    เฮาเวิลแนะนำว่าบทเรียนคือการฝึกใจให้ซาบซึ้งกับสิ่งที่มี มากกว่าคร่ำครวญกับสิ่งที่ขาด ซึ่งเป็นคำอุปมาเรื่อง “เงิน” ที่งดงามเช่นกัน ความมั่งคั่งแท้จริงไม่ได้มาจากสิ่งที่เราครอบครองเพิ่มขึ้น แต่จากความสามารถในการพอใจในสิ่งที่มีอยู่แล้ว
  1. คนที่มีความสุขที่สุดไม่ใช่คนที่รวยที่สุด แต่พอใจที่สุด
    .
    ถ้าจะถามว่าความพอใจสำคัญมากแค่ไหน หลักฐานเรื่องนี้มีมานานกว่าที่คิด งานวิจัยคลาสสิก “Lottery Winners and Accident Victims: Is Happiness Relative?” (1978) โดย Philip Brickman, Dan Coates, และ Ronnie Janoff-Bulman สรุปได้ว่า ความสุขของมนุษย์ “ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างถาวร” แม้ชีวิตจะเปลี่ยนไปสุดขั้วเพียงใด
    .
    เปรียบเทียบความสุขระหว่าง “ผู้ถูกรางวัลลอตเตอรี่” กับ “เหยื่ออุบัติเหตุอัมพาต”
    .
    ผลออกมาพบว่า ผู้ถูกรางวัลไม่ได้มีความสุขกว่าอย่างมีนัยสำคัญ และยังเพลิดเพลินกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ น้อยลงด้วย สะท้อนว่าความคาดหวังที่พุ่งสูงอาจบั่นทอนความพึงใจในเรื่องทั่วไป ส่วนผู้ประสบเหตุแม้ชีวิตยากขึ้น แต่รายงานความสุขในระยะยาวไม่ได้ต่ำอย่างที่เราคิด นี่คือภาพที่ชัดเจนของ “การปรับตัว” ที่ทำให้ความสุดขั้วทั้งบวกและลบถูกกลบด้วยกาลเวลาอย่างรวดเร็ว
    .
    คนที่ “ดูมีความสุข” ที่สุดมักไม่ใช่คนรวยที่สุด แต่คือคนที่บอกตัวเองได้อย่างจริงใจว่า “พอแล้ว”
    .
    เฮาเซิลยกตัวอย่างคุณย่าของภรรยาที่ใช้ชีวิตเกษียณกว่า 30 ปีด้วยรายได้เพียงเล็กน้อยจากเงินบำนาญ ซึ่งแทบเรียกได้ว่าอยู่ในภาวะยากจน แต่เธอกลับมีความสุขอย่างสมบูรณ์ในสวนเล็กๆ และกับหนังสือจากห้องสมุด
    .
    เธอ “มีน้อย แต่ต้องการยิ่งน้อยกว่า” และนั่นคือเหตุผลที่เธอเป็นหนึ่งในคนที่มีความสุขที่สุดที่เฮาเซิลเคยพบ
    .
    ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณสิ่งที่เรามี แต่ขึ้นอยู่กับความพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว เธอพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้จะมีน้อย แต่หากไม่ตกอยู่ในวังวนของ “การอยากได้มากกว่าเดิม” ชีวิตก็สามารถเต็มไปด้วยความสงบและความพึงพอใจได้อย่างแท้จริง
  1. ยิ่งอยากได้บางอย่างที่เราไม่มี ทำให้เรายิ่งโฟกัสไปที่ว่าเรายังไม่มีความสุขตอนนี้
    .
    เฮาเซิลอธิบายว่ามนุษย์มีลำดับขั้นของ “ความอยาก” ที่สัมพันธ์กับความสุขอยู่ 4 ระดับ
    .
  • ถ้า ไม่อยากได้ และ ไม่มี — เราไม่รู้สึกอะไรเลย
  • ถ้า อยากได้ และ มีแล้ว — เรารู้สึกพอใจชั่วครู่
  • ถ้า อยากได้ แต่ ยังไม่มี — เรารู้สึกมีแรงผลักดัน
  • แต่ถ้า อยากได้ แล้วรู้ว่า ไม่มีทางได้ — เราจะรู้สึกทรมานที่สุด
    .
    ประเด็นสำคัญคือ ยิ่งเราหมกมุ่นกับสิ่งที่ “ยังไม่มี” เท่าไร เรายิ่งตอกย้ำว่าตัวเอง “ยังไม่พอใจ” ตอนนี้เท่านั้น
ดังนั้นเมื่อใดที่เราหยุดมองหาว่าต้องมี “มากกว่า” แล้วหันมาบอกตัวเองได้ว่า “สิ่งที่มีอยู่ตอนนี้เพียงพอแล้ว”
  1. ความคาดหวังที่ต่ำสร้างความมั่งคั่งทางจิตใจ
    .
    แล้วทำไมคนจำนวนมากยิ่งอยากยิ่งไม่พอใจ? คำตอบส่วนหนึ่งมาจากงานของ แบร์รี ชวาร์ตซ์ (Barry Schwartz) เรื่อง “Maximizing vs. Satisficing”
    .
  • Maximizers คือคนที่พยายามเลือก “สิ่งที่ดีที่สุด” เสมอ พวกเขาใช้เวลาหาข้อมูล เปรียบเทียบตัวเลือกทุกทาง และมักไม่พอใจกับสิ่งที่เลือก เพราะคิดว่าน่าจะมีทางเลือกที่ดีกว่านี้อยู่
    .
  • Satisficers คือคนที่เลือกสิ่งที่ “ดีพอ” แล้วไปต่อ พวกเขาไม่เสียเวลาเปรียบเทียบมาก และมักมีความสุขกว่า เพราะไม่หมกมุ่นกับสิ่งที่พลาดไป
    .
    งานวิจัยพบว่า Maximizers มีระดับความสุขต่ำกว่า มีแนวโน้มรู้สึกเสียใจ ซึมเศร้า และเครียดมากกว่า
ในทางกลับกัน Satisficers รู้สึกพอใจในชีวิตและตัดสินใจได้เร็วกว่า เพราะพวกเขายอมรับได้ว่าความสมบูรณ์แบบไม่มีอยู่จริง

ความสุขไม่ใช่ผลจากการได้สิ่งที่ “ดีที่สุด” แต่เกิดจากการ “เลือก” ที่เราพอใจกับมันได้
.
“ความสุขคือช่องว่างระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง” คนที่มีทุกอย่างแต่ยังอยากมากกว่าเดิม ย่อมรู้สึกขาดแคลนกว่าคนที่มีน้อยแต่พอใจ นี่ไม่ใช่การบอกว่าเราไม่ต้องมีเงิน (เพราะยังไงก็ต้องมีเพียงพอ) หรือต้องใช้ชีวิตเป็นพระ แต่มันคือการ ลดนิสัย “ต้องดีที่สุดทุกครั้ง” ลงสักนิด ฝึกขอบคุณสิ่งเล็กๆ อย่างสม่ำเสมอ พอใจในสิ่งที่มีมากขึ้น และลงทุนในความสัมพันธ์ที่ทำให้เราดีขึ้น
.
เฮาเซิลสรุปว่า “กุญแจสำคัญคือการตระหนักว่าความสุขคือสภาวะที่ ไม่มีอะไรขาดหายไป ไม่ว่าคุณจะใช้ชีวิตในรูปแบบใดก็ตาม”

[ #เก่งแบบเป็ด 🦆 ]

[ Getting Better One ‘QUACK’ At a Time ]


ไม่พลาดบทความที่จะช่วยให้คุณเก่งขึ้นจาก Producktivity

เพียงกรอก e-mail ที่ลิงก์นี้ -> Subscribe 📮 <-, รับรองไม่มี Spam แน่นอนครับ

Leave a comment