[ Better, Not Done ]

ครั้งหนึ่งตอนที่อัดรายการ ‘#หาเงินได้ใช้เงินเป็น’ กับ “น้องนาโอมิ” และ “น้องข้าวปุ้น” เรื่องการลงทุน (ลิงก์ในคอมเมนต์นะครับ) เราพูดแซวกันเล่นๆ ถึง Indicator ตัวหนึ่งที่เราใช้วัดความร้อนแรงของตลาดหรือสินทรัพย์บางอย่างที่เรียกว่า “Indicator ป้าข้างบ้าน”


คือมันเป็นชื่อแซวเฉยๆ แหละ อารมณ์เหมือนว่า หากมีใครก็ตามที่เมื่อก่อนอาจจะไม่ได้สนใจเรื่องการลงทุนเลยรอบตัวเรา แล้วจู่ๆ วันหนึ่งมาถามเราว่า ‘ควรซื้อ xxx ไหม? มันจะขึ้นต่อรึเปล่า? เห็น yyy ซื้อแล้วกำไรเป็นกอบเป็นกำ’
.
xxx แทนด้วยอะไรก็ได้ อย่างที่ผ่านมาก็คือทองคำ ที่คนใกล้ตัวผมเยอะมากทักมาถาม มาคุย มาบอกว่ากำไร บลาๆๆ (ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยสนใจเลย) ส่วน yyy ก็จะเป็นใครก็ไม่รู้แหละ…คนใกล้ตัวสักคนหนึ่ง
.
เวลาตลาดมัน “ร้อนเกินเหตุ” เมื่อคนปกติไม่เคยพูดเรื่องการเงินเลย แล้วอยู่ดีๆ ก็ลุกขึ้นมาฟันธงราวกับเป็นกูรู นั่นแหละครับที่ผมเรียกเล่นๆ ว่า “Indicator ป้าข้างบ้าน”
.
ไม่ใช่ว่าป้า หรือเพื่อนแม่ หรือญาติที่ไม่เคยลงทุนมาก่อนจะผิดอะไรนะครับ แต่การที่คนที่ปกติ ไม่สนใจสินทรัพย์นั้นเลย จู่ๆ ก็เข้ามาพูดในโทน “มีแต่ขึ้น” หรือ “ใครไม่ซื้อตอนนี้คือพลาด” นี่แหละ คือสัญญาณคลาสสิกของช่วงที่ตลาดเริ่ม ฮือฮามากกว่ามีเหตุผล
.
ช่วงเวลาแบบนี้ผมจะระวังเป็นพิเศษ เพราะถือคติปู่บัฟเฟตต์เลย “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”
.
[ ทำไมเสียงที่ไม่เคยอยู่ในตลาด ถึงสำคัญ? ]
.
เมื่อตลาดขึ้นแรงๆ อยู่พักหนึ่ง ในขณะที่คนในแวดวงการเงินคุยกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่วินาทีที่มันเริ่มหลุดออกสู่ “วงนอก” คือช่วงที่คนทั่วไปที่ไม่เคยอินกับสินทรัพย์นั้นเริ่มพูดถึง
.
แบบกลุ่มคนขายของออนไลน์เริ่มพูดถึงคริปโต กลุ่มไลน์โรงเรียนลูกเริ่มแชร์กองทุนธีม A หรือญาติที่ปกติฝากประจำธนาคารเดียวมา 20 ปี พูดว่า “ทองยังไงก็ขึ้น ลูกลองซื้อสิ” (แหมมมม…)
.
มันบ่งบอกว่าดีมานด์รอบนอกกำลังทะลักเข้ามาแล้ว
.
ช่วงแรกของสินทรัพย์อะไรก็ตาม คนที่เข้ามาเล่นคือคนที่ “เข้าใจ” หรืออย่างน้อยก็ “สนใจจริง” แต่ช่วงท้ายๆ ของรอบ คนที่เข้ามาเริ่มไม่ใช่คนที่เข้าใจ แต่เป็นคนที่กลัวตกรถมากกว่า
.
นี่คือความต่างระหว่าง “demand แท้” กับ “fomo demand”
.
นี่คือช่วงที่ความโลภกำลังชนะเหตุผล
.
ช่วงหลังๆ คนไม่ได้ถามถึงเหตุผลแล้วว่าทำไมมันถึงขึ้น ปัจจัยอะไร หรือแม้แต่ลงทุนเพื่ออะไร? แต่ถามแค่ว่า “ขึ้นอีกไหม?” สนใจว่า “เค้าบอกว่าปีนี้จะไปถึง …”
.
ช่วงแรกๆ อาจจะได้กำไรแหละ เริ่มฟันธง เริ่มบอกว่ามันยังไปต่อ ฯลฯ
.
ปัญหาคือเราไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ ตลาดบ้าได้อีกเสมอ และบ้าได้นานกว่าที่เราคิด
.
🪴 ดังนั้นวิธีคิดคือไม่ใช่ไป “ทำนายจุดพีก” แต่เป็นการ “จัดระยะห่างความปลอดภัยของเรา” ทำได้หลายแบบ เช่น

  1. ค่อยๆ ลดการถือสินทรัพย์ที่เกินมูลค่าพื้นฐาน
    .
    หลายคนที่ผมรู้จักเขาจะจำกัดการถือทองเป็นสัดส่วนของมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมด เช่น 10-15% พอมันเพิ่มพองเป็น 30% ก็ทยอยขาย เพื่อนำมาวางหมากลงทุนต่อไป
    .
  2. อย่าซื้อเพิ่มตอนที่ทุกคนกำลังบอกว่าไม่มีวันลง
    .
    ถ้า narrative เริ่มไปทาง “รอบนี้ไม่เหมือนเดิม” หรือ “เศรษฐกิจแบบใหม่” นั่นยิ่งต้องระวัง
    .
  3. ถือเงินสดไว้บ้างก็ได้
    .
    คนมองว่าเงินสดทำให้ผลตอบแทนต่ำ แต่ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะเอาไปลงทุนที่ไหน ก็ไม่เสี่ยงก็ได้ นั่งทับมือบ้างก็ได้

เพราะฉะนั้นบทเรียนเรื่องนี้คือหากมีญาติหรือเพื่อนที่ไม่เคยลงทุน เริ่มถามถึงสินทรัพย์นี้ เริ่มเห็นสื่อหลายๆ กระแสพูดเรื่องนี้ เริ่มมีคอร์สออนไลน์-สัมมนา-กรุ๊ปไลน์ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด คนเริ่มคุยกันเรื่อง “กำไรที่ได้” มากกว่าคุยเรื่อง “เหตุผลจริงๆ” ควรเริ่มระวัง
.
(เมื่อก่อนที่จริง Indicator อีกอย่างที่บ่งบอกว่าตลาดหุ้นร้อนแรงคือจำนวนหนังสือลงทุนบนแผงหนังสือ ถ้าติดอันดับขายดีหรือมีวางเยอะๆ อันนั้นก็พอใช้ได้เหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้อาจจะช้าไปแล้ว)
.
เมื่อวันหนึ่งที่ตลาดมันร่วงแล้วคนเริ่มบ่น เริ่มออกมาบอกว่า ‘ไม่ขายไม่ขาดทุน’ ‘ถือไว้ยังไงก็กำไร’ หรือ ‘เดี๋ยวมันก็กลับมา’
.
มันอาจจะจริง…และไม่จริงก็ได้นะครับ (ถ้าอย่างทองคำมันก็มีกลับมาจริงๆ ก็ได้นะ เพราะตามประวัติศาสตร์แล้วมันก็มากลับมา แต่อาจจะไม่ได้เร็วอย่างที่ใจคิด บางทีนิ่งยาวหลายปี หรือสิบปีก็มี แต่ถ้าหุ้น…ไปแล้วอาจจะไปเลยได้นะครับ)
.
มีคำพูดหนึ่งที่ผมชอบมากที่บอกว่า “โดยส่วนใหญ่แล้วมนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่หาเหตุผลมารองรับการกระทำของตัวเองมากกว่า” (จำไม่ได้แล้วว่าอ่านมาจากไหน ใครจำได้คอมเมนต์บอกหน่อย) เวลาเราตัดสินใจอะไรไปแล้ว บางทีทำไปเพราะอารมณ์ล้วนๆ แต่พอพลาดก็พยายามหาเหตุผลมารองรับเพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้น (เป็นระบบป้องกันตัวเองแบบหนึ่ง ไม่งั้นเราก็จะโทษตัวเองเมื่อตัดสินใจพลาดในชีวิตตลอดเวลา)
.
สรุปเอาเป็นว่าป้าข้างบ้าน ญาติ หรือ คนทั่วไปไม่ผิดที่สนใจลงทุนนะครับ แต่การที่คนที่ไม่เคยลงทุนหรือสนใจเรื่องเหล่านี้เลยเริ่มพูดเรื่องนี้หนักๆ คงต้องระวัง
.
หน้าที่เราคือลองแชร์ความเห็นได้ บอกให้ระวังได้ แต่ถ้าเขาไม่เชื่ออันนี้เราบังคับไม่ได้ แต่เราขยับตัวเองออกจากโหมดตามฝูงชน ไปสู่โหมดรักษาทุนและรอโอกาสได้
.
🐥 มี cartoon strip ของ Snoopy อันหนึ่งที่ผมชอบมา โดย Charlie Brown (เด็กชายในการ์ตูน) พูดกับเจ้านก Woodstock ตัวสีเหลืองที่กำลังออกตัวเดินทางบินลงใต้ในช่วงฤดูหนาวว่า “แม้ว่านกทุกตัวจะบินลงใต้ในฤดูหนาว แต่นายก็เลือกที่จะไม่ทำตามก็ได้นะ”
.
นั่นนะสิครับ เราเลือกได้
.
การลงทุนที่ดีไม่ใช่การเก่งกว่าทุกคนตลอดเวลา แต่คือรู้ว่าตอนไหนไม่ควรทำแบบคนส่วนใหญ่ และบ่อยครั้ง สัญญาณนั้นก็ดังมาจากคนใกล้ตัวเรานี่แหละครับ
.
ปล. ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน
.
[ #เก่งแบบเป็ด 🦆]

[ Getting Better One “QUACK” At A Time ]


ไม่พลาดบทความที่จะช่วยให้คุณเก่งขึ้นจาก Producktivity

เพียงกรอก e-mail ที่ลิงก์นี้ -> Subscribe 📮 <-, รับรองไม่มี Spam แน่นอนครับ

Leave a comment