เคยสงสัยไหมครับว่าเด็กบางคนแม้จะเจออุปสรรคในชีวิตมากมาย ครอบครัวแตกแยก มีปัญหา ฯลฯ แต่ก็ยังสามารถปรับตัวและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จได้
.
แต่อีกด้านหนึ่งก็มีเด็กที่ต้องการการดูแลที่มากกว่าหน่อย แต่เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ก็สามารถที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาดและสร้างสรรค์ผลงานที่ยอดเยี่ยมได้ไม่แพ้กัน
.
เช้านี้เพิ่งฟัง Podcast (Solved ของ Mark Manson) เรื่อง Resilience หรือ ความสามารถในการปรับตัว ยืดหยุ่น และเติบโตของมนุษย์ เขาอธิบายถึงเรื่องนี้ว่าผ่านงานวิจัยของ ศาสตราจารย์โทมัส บอยซ์ (Dr. Thomas Boyce) ศาสตราจารย์กิตติคุณด้านกุมารเวชศาสตร์และจิตเวชศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก ที่แยกเด็กออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ เด็กดอกแดนดิไลออน(ที่เติบโตได้แทบทุกที่) และ เด็กดอกกล้วยไม้ (ที่บอบบาง ต้องการสภาพแวดล้อมเฉพาะถึงจะเติบโตได้ดี)
.
🌼 1. เด็กแดนดิไลออน (Dandelion Children)
.
เด็กแดนดิไลออนถูกเปรียบเทียบกับดอกแดนดิไลออน ซึ่งเป็นพืชที่สามารถเติบโตได้แทบทุกที่ แม้ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย เช่น รอยแตกของซีเมนต์ ดินที่แย่ หรือสภาพแห้งแล้ง
- ลักษณะเด่น: มีความทนทานสูง และดูเหมือนจะเติบโตได้ดีในทุกสภาวะ พวกเขาปรับตัวและผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบากไปได้ ประมาณ 70% ถึง 80% ของเด็กจัดอยู่ในประเภทแดนดิไลออน โดยพวกเขาส่วนใหญ่มักมีความสามารถในการปรับตัวในสถานการณ์ส่วนใหญ่
. - การปรับตัว: พวกเขามักไม่ได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงมากนัก หรือกล่าวได้ว่า “ไม่สามารถดัดแปลงได้ง่ายนัก” (not that malleable)
. - ตัวอย่าง: ในโลกแห่งความเป็นจริง ผู้ที่มีบุคลิกภาพแบบแดนดิไลออนมักจะสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติและมีความสุขได้ง่ายไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใด เช่น David Goggins ถูกจัดว่าเป็นผู้ที่มีลักษณะความเป็นแดนดิไลออนสูง ซึ่งมาจากภูมิหลังที่ยากลำบาก แต่เขาสามารถปรับตัวและสร้างความเข้มแข็งได้
🌷2. เด็กออร์คิด (Orchid Children)
.
เด็กออร์คิดถูกเปรียบเทียบกับกล้วยไม้ ซึ่งเป็นพืชที่เปราะบาง และต้องการสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ
- ลักษณะเด่น: มีความอ่อนไหวสูงมาก (ultra sensitive) ต้องการเงื่อนไขที่เหมาะสมที่สุดในการเติบโต เช่น ดินคุณภาพดี น้ำ สารอาหาร และปริมาณแสงแดดที่พอเหมาะ หากได้รับสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ พวกเขาสามารถเติบโตและเจริญงอกงามได้อย่างสวยงามในระยะยาว ประมาณ 20% ถึง 30% ของเด็กจัดอยู่ในประเภทออร์คิด
. - ความอ่อนไหวไม่ใช่ความอ่อนแอ: งานวิจัยสรุปว่า เด็กออร์คิดไม่ได้อ่อนแอ แต่เป็นเพียงผู้ที่มีความอ่อนไหวสูงมากต่อบริบททางชีวภาพและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการดัดแปลงตามสภาพแวดล้อมรอบข้าง
. - ตัวอย่าง: บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์บางคน เช่น ชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ถูกมองว่าเป็นออร์คิด เนื่องจากอ่อนไหวมากจนทนเห็นการผ่าตัดไม่ได้ในยุคก่อนการใช้ยาชา นักคิดหรือศิลปินผู้มีพรสวรรค์หลายคน เช่น William James หรือ Emily Dickinson มักเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพแบบออร์คิด โดยผลงานศิลปะของพวกเขาคือปฏิกิริยาการปรับตัวต่อความอ่อนไหวที่มีต่อสิ่งเร้า
🎯 [ ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ? ]
.
ความเข้าใจเรื่องแดนดิไลออนและออร์คิดเน้นย้ำว่า ความยืดหยุ่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งหรือความอ่อนแอ แต่ขึ้นอยู่กับ “ความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม”
.
นักวิจัยมองว่าการมี “ออร์คิด” อยู่ในยีนของมนุษย์ไม่ได้เป็นข้อผิดพลาดทางวิวัฒนาการ แต่เป็นกลยุทธ์แบบ “ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง” (high-risk, high-reward bet)
- แดนดิไลออน: จะอยู่รอดและทำได้ดีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
. - ออร์คิด: แม้จะเปราะบางในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง แต่สามารถเติบโตอย่างโดดเด่นและสร้างสรรค์ในสภาพแวดล้อมที่ดี ความอ่อนไหวของพวกเขาทำให้พวกเขาสามารถหยั่งรู้ถึงอารมณ์และการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมได้ดี ซึ่งเป็นประโยชน์ในการสร้างความเชื่อมโยง
.
ความสามารถในการปรับตัวรับมือกับความยากลำบาก (Resilience) สามารถฝึกฝนได้สำหรับทุกคน แต่สำหรับคนสองประเภทนี้ แนวทางในการฝึกฝนอาจแตกต่างกันเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการจัดหา “ความเหมาะสมทางสิ่งแวดล้อม”
➡ 1. การสร้างรากฐานทางชีวภาพ (Biological Foundation)
.
ไม่ว่าจะเป็นแดนดิไลออนหรือออร์คิด การมีรากฐานทางสุขภาพที่ดีถือเป็นเรื่องสำคัญในการสร้าง “ทุนสำรอง” (reserve) เพื่อใช้รับมือกับความเครียด
- การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายเป็นความเครียดที่ควบคุมได้ จำกัดเวลาได้ ซึ่งช่วยให้จิตใจฝึกรับมือกับความยากลำบาก
. - การจัดการความอ่อนไหว: การจัดการกับระบบทางชีวภาพ เช่น การฝึกการหายใจหรือการดูแลสุขภาพลำไส้เป็นวิธีทางสรีรวิทยาที่ช่วยให้ระบบประสาทสงบลงและเพิ่มความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อความเครียด ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ที่มีความอ่อนไหวสูง
➡ 2. การสร้างความสามารถในการปรับตัวทางจิตใจ (Mental Adaptability)
.
การฝึกฝนความยืดหยุ่นทางจิตใจผ่านชุดความคิดเป็นสิ่งสำคัญ:
.
- การปรับกรอบความคิดใหม่ : ฝึกฝนที่จะเชื่อว่า “เรื่องเล่าเป็นแค่เรื่องเล่า” สิ่งนี้มีประโยชน์มากเมื่อกำลังเผชิญกับความยากลำบากอยู่แล้วสำหรับคนประเภทออร์คิดที่มักมีเรื่องเล่าเชิงลบเกิดขึ้นได้ง่ายเนื่องจากความอ่อนไหวสูง การตั้งคำถามกับเรื่องเล่าในสมองของตนเองจึงเป็นเครื่องมือสำคัญ
. - การเพิ่มหลักฐานความสำเร็จ : การสร้างตัวตนในฐานะคนที่สามารถทำสิ่งยากๆ ได้ ผ่านการทำเรื่องที่ท้าทายเล็กน้อยและสามารถทำได้สำเร็จ การทำเช่นนี้จะสร้างหลักฐานยืนยันความสามารถของตนเอง ซึ่งจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นในตนเองต่อไป
➡ 3. ความสำคัญของบริบททางสังคม (Social Context)
.
นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับเด็กออร์คิด และเป็น “กีฬาที่ต้องเล่นเป็นทีม” สำหรับการสร้าง Resilience โดยรวม
.
- การสนับสนุนทางสังคม: สำหรับผู้ที่อ่อนไหว การมี “ผู้ใหญ่อย่างน้อยหนึ่งคน” ที่เชื่อในความสามารถของพวกเขา มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง เป็นเกราะป้องกันที่สำคัญมาก และช่วยให้ระบบประสาทมีความสมดุลและลดความเครียด
. - การหาความเหมาะสม: เด็กออร์คิดจะทำได้ดีเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ให้การสนับสนุนและมีความเข้าใจ การสร้างเครือข่ายสังคมที่ยืดหยุ่นและเป็นบวกจึงเป็นกุญแจสำคัญ
แม้ว่าเด็กแดนดิไลออนจะมีความยืดหยุ่นโดยธรรมชาติ แต่เด็กออร์คิดก็สามารถสร้าง Resilience ได้เช่นกัน โดยต้องอาศัยกลยุทธ์ที่เน้นความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม และการมีการสนับสนุนทางสังคมที่เหมาะสมกับความอ่อนไหวของตนเองเพื่อปลดล็อกศักยภาพที่แฝงอยู่
.
ถ้าเจอเพื่อนหรือเด็กๆ ที่เปราะบาง พวกเขาอาจจะแค่ต้องการสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมอยู่ก็ได้นะครับ
.
[#เก่งแบบเป็ด 🦆]
[ Getting Better One “QUACK” At A Time ]

Leave a comment