[ Better, Not Done ]

ในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล เพลโต นักปรัชญาชาวกรีก เดินทางไปซิซิลีถึงสามครั้ง ด้วยความตั้งใจจะเปลี่ยนผู้นำเผด็จการให้กลายเป็น “กษัตริย์นักปรัชญา” อย่างที่เขาเคยเขียนไว้ในหนังสือ The Republic
.
ครั้งแรก เขาเจอกษัตริย์ไดโอนิซิอุสที่หนึ่ง ผู้ไม่พอใจคำสอนเรื่องความยุติธรรม เพราะเพลโตพูดเรื่องความยุติธรรมมากเกินไป สุดท้ายขับไล่เพลโตออกจากเมือง แต่สิ่งที่เพลโตได้กลับมาคือมิตรภาพกับ “ไดออน” พี่เขยของกษัตริย์ ผู้เป็นคนเดียวที่เปิดใจรับแนวคิดของเขา
.
หลายปีต่อมา ไดออนชวนเพลโตกลับไปอีกครั้ง เพื่อสอนลูกชายของกษัตริย์คนเดิม หวังว่าจะสร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่มีปัญญาและคุณธรรมมากกว่าเดิม แต่เจ้าชายไดโอนิซิอุสที่สอง ซึ่งเติบโตในวังและไม่เคยลำบากเลยในชีวิต กลับสนใจเพียง “ภาพลักษณ์ของนักปรัชญา” มากกว่าการลงมือตามหลักปรัชญาอันดีอย่างแท้จริง เขาไม่ยอมรับความจริง ไม่อดทนต่อความไม่สบายใจ และไม่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองตามคำสอนของเพลโต การไปครั้งนั้นจบลงด้วยความล้มเหลว
.
ถ้าเป็นมีมก็คือ ‘มีครั้งที่สอง แต่ครั้งที่ 3 นี่ไม่ควร!’
.
แต่มีครับ (55555) เรื่องยังไม่จบ แม้เห็นชัดว่าไม่มีทางสำเร็จ เพลโตยังกลับไปซิซิลีเป็นครั้งที่สาม หลังจากไดโอนิซิอุสที่สองให้คำมั่นว่า “คราวนี้พร้อมจะเรียนรู้ปรัชญาอย่างจริงจัง” แต่สุดท้ายทุกอย่างก็จบลงเหมือนเดิมครับ
.
ครั้งนี้เกือบเอาชีวิตไม่รอด เพลโตต้องหนีกลับเอเธนส์อย่างหวุดหวิดเพื่อเอาชีวิตรอด จากความล้มเหลวนี้เอง เขาได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญที่ยังใช้ได้จนถึงปัจจุบัน 2,000 ปี คุณไม่สามารถเปลี่ยนใครได้ ถ้าเขาไม่อยากเปลี่ยนเอง ไม่ว่าคุณจะฉลาดแค่ไหน หรือรักเขามากเพียงใด เพราะการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ต้องเริ่มจากภายในของตัวเขาเท่านั้น (นั่นไง!)
.
เชื่อว่าในชีวิตนี้ หลายคนคงเคยพลาดเหมือนเพลโตมาแล้วทั้งสิ้น พยายามจะยื่นมือเข้าไปช่วยเพื่อน คนรัก คนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือใครก็ตามที่เรารักและแคร์มากๆ เพราะหวังดีอยากให้คนนั้นไปถึงเป้าหมายหรือมีชีวิตที่ดีขึ้น
.
มีเพื่อนคนหนึ่งสมัยเรียนที่รักๆ เลิกๆ กับแฟนอยู่หลายรอบ และทุกครั้งส่วนใหญ่ปัญหาก็จะเป็นเรื่องเดิมๆ คือต่างฝ่ายต่างไม่มีเวลาให้กันเพราะเรียนหนักกันทั้งคู่ ซึ่งทุกครั้งที่เลิกก็จะชวนไปดื่ม และทุกครั้งที่ดื่มมันก็จะเรื้อนหน่อย พูดอยู่นั่นแหละว่าครั้งนี้เลิกจริงแล้ว เราก็ให้กำลังใจ ‘เออๆๆ เป็นเพื่อนกันไปก็ได้นะ เดี๋ยวจังหวะมันได้ก็ค่อยมาคบกันอะไรว่าไปมึง’
.
แล้วมันก็จะหายไปสักพัก รู้อีกทีกลับไปคบกันแล้ว (โอ๊ยยย..) แล้วหนังก็จะฉายซ้ำ วนแบบนี้ไปหลายรอบ จนผมรู้สึกว่าแล้วแต่มึงเลยละกัน (ตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้วก็ไม่รู้นะ ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยหลังจากเรียนจบ) เพราะไม่ว่าเราจะยื่นมือเข้าไปช่วยด้วยความหวังดีมากแค่ไหน ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ ‘มีใจ’ พร้อมจะเปลี่ยนจริงๆ การเปลี่ยนแปลงก็ไม่เกิดขึ้นอยู่ดี

เราทุกคนต่างก็มี “ไดโอนิซิอุส” ของตัวเอง
ใครบางคนที่พูดว่าอยากเปลี่ยน แต่ไม่เคยลงมือทำจริง
ใครบางคนที่ดูเหมือนเข้าใจตอนคุยกัน แต่กลับไปทำผิดซ้ำๆ
หรือใครบางคนที่ดูเหมือน “อยากดีขึ้น” แต่ในความเป็นจริง เขาแค่ “อยากดูเหมือนดีขึ้น” เท่านั้น

เราเลยมีความเป็นเพลโตในเวอร์ชันของตัวเองด้วยเช่นกัน พยายามเป็นที่ปรึกษา เป็นผู้กอบกู้สถานการณ์ เป็นคนที่เชื่อว่าความรัก ความอดทน หรือเหตุผลที่ดีพอจะเปลี่ยนใครก็ได้ แต่สุดท้ายเรากลับเจอแต่ความผิดหวัง วนลูปอยู่ในวงจรของ “การให้โอกาสซ้ำๆ” ทั้งที่รู้ดีว่าผลลัพธ์จะไม่ต่างจากเดิม
.
เพลโตค้นพบในที่สุดว่า การเปลี่ยนคนอื่นเป็นไปไม่ได้ ถ้าเขาไม่อยากเปลี่ยนด้วยตัวเอง เพราะการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากคำพูดสวยๆ หรือแรงบันดาลใจจากคนอื่น แต่มันเกิดจากแรงภายใน จากการยอมรับว่าตัวเองคือปัญหา และพร้อมจะทนความไม่สบายใจของการเติบโต การเปลี่ยนแปลงต้องใช้ความพยายามต่อเนื่อง ต้องเผชิญหน้ากับความจริง ต้องยอมเหนื่อย ต้องยอมล้ม และต้องยอมรับว่ามันจะไม่ง่ายเลย
.
ไดโอนิซิอุสอาจจะยังไม่เคยเผชิญสิ่งเหล่านี้ เขามีแต่คนล้อมรอบที่พูดในสิ่งที่เขาอยากได้ยิน
.
ที่จริงความผิดพลาดที่แท้จริงของเพลโต ไม่ใช่การพยายามครั้งแรก หรือครั้งที่สอง แต่มันคือการ “กลับไปครั้งที่สาม” ทั้งที่รู้ชัดแล้วว่าไม่มีอะไรจะเปลี่ยน เขายอมให้ความหวังเอาชนะเหตุผล ยอมเชื่อคำพูดเดิมๆ ซ้ำๆ ว่าคราวนี้จะต่างออกไป ทั้งที่ทุกสัญญาณบอกว่าไม่ใช่ และนั่นแหละ คือสิ่งที่เราทุกคนเคยทำ เราให้โอกาสครั้งแล้วครั้งเล่า เราให้อภัยทั้งที่เจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก เราเรียกมันว่าความรักก็ได้มั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องมีขีดจำกัด

🥹 แล้วเมื่อไหร่กันละ?

ดร.เชสเตอร์ ซันด์ (Chester H. Sunde, Psy.D.)นักจิตวิทยาคลินิกในเมืองเรดดิง รัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัด PTSD สำหรับทหารผ่านศึกและเจ้าหน้าที่กู้ภัย อธิบายว่าถ้าเราสังเกตเห็น วงจรซ้ำๆ ของคำสัญญาและความผิดพลาด เหมือนเดิมไม่รู้จบ เช่น เขาบอกว่าจะเปลี่ยน แต่สุดท้ายก็กลับไปพฤติกรรมเดิม หรือความสัมพันธ์นั้นทำให้เรารู้สึกหมดแรง เหนื่อยล้า และสูญเสียความเป็นตัวเอง นั่นคือสัญญาณอันตราย อีกทั้งถ้าเราพบว่าตัวเองต้อง ละทิ้งคุณค่า สุขภาพ หรือความสงบของจิตใจของตัวเอง เพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้ นั่นก็แปลว่ามันกำลังทำร้ายเรามากกว่าเป็นประโยชน์ต่อตัวเราแล้ว
.
สัญญาณที่ชัดเจนอีกอย่างคือถ้าอีกฝ่ายยังคงโทษสิ่งภายนอกแทนที่จะรับผิดชอบตัวเอง หรือแสดงความตั้งใจ “จะเปลี่ยน” แค่ตอนกลัวว่าเราจะหายไป นั่นหมายความว่าความตั้งใจนั้นไม่ได้มาจากแรงปรารถนาแท้จริงที่จะเติบโต
.
นี่อาจจะถึงเวลาแล้วที่เราควร “นั่งเรือออกมาจากซิซิลี” เหมือนเพลโต หยุดพยายามแก้ไขใคร และหันกลับมาดูแลตัวเราเองดีกว่า
.
ดร.เชสเตอร์เล่าว่าหลังจากทุกอย่างจบลง เพลโตไม่ได้หมดศรัทธาในมนุษย์ แต่เขาเปลี่ยนทิศทางของพลัง เขากลับไปเอเธนส์ และเริ่มสร้าง “อะคาเดมี” สถาบันปรัชญาที่จะกลายเป็นรากฐานของการศึกษาทั่วโลก เขาเขียน The Republic หนังสือว่าด้วย “การปกครองตนเอง” และสอนว่าก่อนที่เราจะปกครองคนอื่นได้อย่างยุติธรรม เราต้องปกครองตัวเองให้ได้ก่อน เพราะถ้าเราไม่เข้าใจตัวเอง เราก็ไม่มีทางเปลี่ยนใครได้อย่างแท้จริง (อย่างคม!)
.
นั่นคือบทเรียนที่สำคัญที่สุดของเพลโต และอาจเป็นบทเรียนที่เราทุกคนต้องเรียนรู้ในแบบของตัวเอง เมื่อถึงเวลา เราต้องหยุดพายเรือไปซิซิลี หยุดพยายามเปลี่ยนใคร และเริ่มกลับมาดูแล “เอเธนส์” ของตัวเองแทน
.
บางครั้ง การช่วยคนอื่น อาจไม่ใช่การยื่นมือเข้าไปช่วยตลอดเวลา แต่คือการเดินออกมา เพื่อให้เขาได้เจอผลลัพธ์ของการไม่เปลี่ยน และให้เราได้เจอความสงบจากการยอมรับว่า เราทำดีที่สุดแล้ว
.
เพราะในท้ายที่สุด เราต้องรู้ว่าเราเปลี่ยนใครไม่ได้จริงๆ ถ้าเขาไม่อยากเปลี่ยน ให้คำแนะนำได้ แต่อย่าเอามาเป็นความรับผิดชอบหรือภาระที่เราต้องแบกเอาไว้ เพราะความรับผิดชอบที่แท้จริงก็เหมือนอย่างที่เพลโตบอกครับคือการปกครองหัวใจของเราเอง เข้าใจตัวเองให้ดี นั่นคือความรับผิดชอบที่แท้จริง


อ้างอิง :

https://classics.mit.edu/Plato/seventh_letter.html
https://www.psychologytoday.com/us/blog/platonic-psychology/202511/platos-lessons-on-letting-go-of-unhealthy-relationships
https://archive.org/details/PlatoRepubliclarson/page/n159/mode/2up


ไม่พลาดบทความที่จะช่วยให้คุณเก่งขึ้นจาก Producktivity

เพียงกรอก e-mail ที่ลิงก์นี้ -> Subscribe 📮 <-, รับรองไม่มี Spam แน่นอนครับ

Leave a comment