ผมเคยถามพี่คนหนึ่งที่ทำงานด้วยกันด้วยความสงสัย “ทำไมพิมพ์งานเอกสารในโปรแกรม Excel ครับ?”
.
ที่ถามแบบนั้นเพราะ ปกติแล้วเราจะพิมพ์พวกงานเอกสารแบบนี้ (เอกสารบริษัท แบบฟอร์มต่างๆ) ในโปรแกรมพวก Word หรือ Google Docs อะไรแบบนั้น
.
พี่คนนั้นตอบว่า “ใช้ไม่เป็น ทำ Excel มันก็ทำได้นิ”
.
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ทำได้หรือไม่ได้ไหมละ? มันเสียเวลาไง แทนที่จะเสร็จเร็วๆ แล้วเอาเวลาไปทำอย่างอื่น” ผมอธิบาย แต่สุดท้ายผมก็เปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ และเขาก็ทู่ซี้ใช้ Excel ทำงานเอกสารต่อไป (คนที่ทำต่อก็ปวดหัวด้วยนะ)
.
📖 ดั่งที่ Abraham Maslow เคยพูดไว้ว่า “ถ้าเครื่องมือเดียวที่คุณมีคือค้อน คุณก็จะมองทุกอย่างเป็นตะปู”
.
แนวคิดนี้สำคัญมาก เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่าตัวเองเชี่ยวชาญเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทุกปัญหาที่เข้ามา เรามักจะพยายามหาวิธีบิดเพื่อใช้ความเชี่ยวชาญนั้นแก้ปัญหาตรงหน้าทันที…ทั้งๆ ที่มันอาจจะไม่เหมาะก็ได้
.
Shane Parrish บอกว่า “You’re as good as your tools” หรือ “คุณจะมีศักยภาพเท่ากับเครื่องมือที่คุณมี” นั่นหมายความว่าแทนที่เราจะหวังพึ่งพาแค่เครื่องมือเดียวในชีวิต เราควรมีเครื่องมือหลายๆ แบบเอาไว้แก้ปัญหาที่เข้ามาด้วย
.
🇫🇷 ใน IG ของ ซาฮิล บลูม (Sahil Bloom) เล่าเรื่องหนึ่งไว้ (ลิงก์ในคอมเมนต์นะครับ) เป็นตัวอย่างเหตุการณ์ที่เป็นความเสียหายครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์เพราะพึ่งพาเครื่องมือเดียวที่รู้จักและเคยใช้ในอดีต
.
ฝรั่งเศสหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทศเพิ่งโดนเยอรมันยำเละ ผู้นำการเมืองและการทหารก็เลยนั่งถกกันว่า “เราจะป้องกันไม่ให้เยอรมันบุกซ้ำได้ยังไง”
.
คำตอบของพวกเขาคือสิ่งก่อสร้างระดับตำนานที่ชื่อว่า “แนวป้องกันมาฌีโน” (Maginot Line) สร้างขึ้นระหว่างปี 1929–1940 โดยใช้วัสดุคอนกรีตเสริมเหล็กจำนวนมาก มีทั้งป้อมปราการใต้ดิน บังเกอร์ และปืนใหญ่
.
แนวป้องกันและป้อมปราการที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นตามแนวพรมแดนด้านตะวันออกหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อป้องกันการรุกรานจากเยอรมนี เป็นกำแพงป้อมปราการยาวกว่า 400 ไมล์
.
แม้จะแข็งแกร่ง แต่แนวป้องกันไม่ได้ครอบคลุมไปตลอดแนวพรมแดนทั้งหมดและโลกไม่ได้หยุดอยู่กับที่ในขณะที่กำแพงถูกสร้าง
.
ระหว่างที่ฝรั่งเศสหมกมุ่นกับป้อมปืนและอุโมงค์ เยอรมันกำลังเรียนรู้สงครามแบบใหม่ไปด้วย บุกผ่านเบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก และป่าอาร์เดนส์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝรั่งเศสป้องกันไว้บางมาก
.
เดือนกว่าๆ หลังเปิดฉากบุก กรุงปารีสเมืองหลวงฝรั่งเศสก็ถูกตีแตกและลงนามยอมแพ้กับเยอรมันในเวลาต่อมา

นี่คือหลักการที่เรียกว่า ‘Maslow’s Hammer’ หรือ Law of the Instrument (“ถ้าเครื่องมือเดียวที่คุณมีคือค้อน คุณก็จะมองทุกอย่างเป็นตะปู”)
.
ฝรั่งเศสมี “ค้อน” คือประสบการณ์สงครามครั้งก่อนที่สู้กันแบบค่าย–คู–ป้อม พวกเขาเลยเทงบประมาณมหาศาลไปสร้าง “ค้อนที่ใหญ่กว่าเดิม” แทนที่จะถามตัวเองก่อนว่า เกมมันยังเหมือนเดิมอยู่ไหม
.
🔨 ปัญหาคือ เราทุกคนก็ทำแบบเดียวกันนี่แหละ เพียงแค่ไม่ได้ใช้รถถังกับปืนใหญ่ แต่ใช้ทักษะ ความคิด และนิสัยประจำตัว
.
บางทีคุณเคยอ่านหนังสือเตรียมสอบวิชาชีววิทยาแบบข้อสอบกากบาทจนคล่อง แล้วดันเอาวิธีเดิมไปใช้กับวิชาสถิติที่ต้องคำนวณเต็ม ๆ อ่านท่องจำอย่างหนัก แล้ววันสอบกลับมองกระดาษแล้วสมองโล่งคิดไม่ออก เพราะข้อสอบไม่ได้ถามว่า “คำตอบคืออะไร?” แต่ให้แสดง “วิธีแก้โจทย์ให้ดู”
.
จะบอกว่าเราไม่ได้ไม่ฉลาดหรอก แค่โลกมีตะปูหลายแบบ มันอาจจะเป็นน็อตก็ได้ แต่ในมือเราค้อนอยู่แล้วดันทุรังจะตอกมันให้จม หรือในที่ทำงาน คุณอาจเป็นสาย Excel จ๋า ทำงบทำตารางคำนวณมาทั้งชีวิต พอทำเอกสารก็เปิด Excel ทำเลย ทั้งที่ถ้าเสียเวลาหัดใช้ Word ซักนิด ชีวิตจะง่ายกว่ามาก
.
แต่มันรู้สึกสบายใจกว่าที่จะใช้ของที่คุ้นเคย เราเลยเอาค้อนเดิม ๆ ไปทุบงานทุกประเภท แม้งานนั้นจะไม่ใช่ตะปูเลยก็ตาม
.
❓ ทำไมเราถึงติดค้อนของตัวเองขนาดนี้?
.
1. เพราะเรามองโลกผ่านอาชีพและความเชี่ยวชาญของตัวเอง : จินตนาการถึงงานปาร์ตี้ หมอจะมองเห็นคนที่มีโอกาสเป็นโรคตับ นักจิตวิทยามองแล้วเห็นความเสี่ยงเสพติด ตำรวจมองแล้วเห็นเรื่องผิดกฎหมาย ไม่มีใครผิดหรอก แค่ทุกคนถือค้อนคนละแบบ และแน่นอน ทุกอย่างเลยดูเหมือน “ปัญหาที่ค้อนของเราแก้ได้”
.
2. สมองเราชอบลัดขั้นตอน : เวลามีปัญหาใหม่ สมองจะรีบคว้า “คำตอบที่เคยใช้ได้ผล” มาใส่โดยอัตโนมัติ เพราะมันเร็ว สบาย และไม่ต้องคิดใหม่ ปัญหาคือ สถานการณ์ใหม่ที่ “ดูคล้ายเดิม” อาจมีรายละเอียดสำคัญที่ต่างออกไป แต่สมองไม่รอดูแล้ว มันยื่นค้อนชุดเดิมให้เลย (เอาไปทุบซะ!)
.
ผลที่ตามมาคืออะไร?
.
ในระดับบุคคล เรากลายเป็นคนทำงานที่ดูยุ่งมากแต่ไม่ค่อยไปไหนไกล เพราะเราใช้วิธีเดิมแก้ทุกปัญหา มันคือความกลัวการลองอะไรใหม่ เราติดอยู่กับทักษะชุดเล็ก ๆ ที่ถนัด แล้วบ่นว่าชีวิตไม่โต ทั้งที่เราเป็นคนล็อกตัวเองไว้กับกำแพงที่เคยใช้ได้ผลเมื่อสิบปีก่อน
.
🎯 แล้วจะแก้ยังไง? คำตอบไม่ใช่การทิ้งค้อน แต่คือ “หยุดคิดว่าทุกอย่างต้องใช้ค้อน”
.
ทุกครั้งที่มีปัญหา ก่อนจะคว้าเครื่องมือที่คุ้นเคย ลองหยุดแล้วถามตัวเองสามอย่างง่าย ๆ
.
หนึ่ง จริง ๆ แล้วปัญหานี้คืออะไรแน่ ๆ ไม่ใช่แค่หน้าตามันคล้ายปัญหาเก่า
.
สอง เรามีเครื่องมืออะไรบ้างจริง ๆ คนอื่นช่วยได้ไหม มีทรัพยากรหรือเวลาประมาณไหน
.
สาม มีวิธีอะไรที่เราไม่ถนัด แต่ถ้าลองใช้แล้วอาจเวิร์กกว่าไหม
.
ฟังดูเป็นขั้นตอนพื้นฐานมาก แต่เราส่วนใหญ่ไม่เคยทำ เราข้ามไปตรง “ลงมือ” ทันที เพราะเราเสพติดความรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่เสมอ
.
Maslow’s Hammer ไม่ได้มีไว้ให้เรารู้สึกผิด แต่มันมีไว้เตือนว่า “ความถนัด” กับ “ความเหมาะสม” เป็นคนละเรื่อง
.
ความถนัดคือสิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกเก่งและสบายใจ ความเหมาะสมคือสิ่งที่ปัญหาต้องการจริง ๆ
.
ทุกปัญหาไม่ใช่ตะปู บางทีมันอาจจะเป็นน็อต
.
ค้อนไม่ได้ใช้ได้ทุกครั้ง บางทีครั้งนี้อาจต้องใช้ไขควง
.
ชีวิตที่โตขึ้นไม่ใช่ชีวิตที่มีค้อนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่คือชีวิตที่มีทั้งค้อน ไขควง ประแจ และความกล้าที่จะยอมรับว่า “วันนี้เราต้องใช้เครื่องมือที่ยังใช้ไม่เก่ง”
.
หากเรากำลังจะเอาวิธีเดิม ๆ ไปตอกปัญหาอีกครั้ง ลองหยุดแล้วถามตัวเองแบบตรง ๆ ว่า
“นี่เรากำลังใช้เครื่องมือที่ถูกต้องจริงๆ หรือแค่ใช้วิธีเดิมที่เพราะกลัวจะวางสิ่งที่คุ้นเคย?

Leave a comment