[ Better, Not Done ]

🍌 ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาโลกออนไลน์ตื่นเต้นกับ Gemini 3 Pro ที่สามารถสร้างภาพอินโฟกราฟิกภาษาไทยได้อย่างยอดเยี่ยม เข้าใจคำสั่งมากขึ้น บลาๆๆ
.
ผมทักไปหาน้องในทีมบอกว่า ‘เดี๋ยวพวกอินโฟเหล่านี้เต็มฟีดแน่นอน’
.
และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ
.
AI เก่งขึ้นเรื่อยๆ ครับ ปฏิเสธไม่ได้หรอก มีข่าวว่ามันจะฆ่างานนั้นงานนี้อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอาชีพ ‘นักเขียน’ แบบผมเนี้ยแหละโดนก่อนเลย เชื่อว่ามีส่วนจริงครับ ตอนนี้คอนเทนต์ออนไลน์ถูกเขียนโดย AI เยอะมาก แบบไม่ต้องสงสัยเลย
.
และมันก็ทำงานได้ดีครับ เพียงแต่มนุษย์ก็ยังต้องมีส่วนในกระบวนการเหล่านั้นอยู่ เรายังต้องอ่านต้องตรวจสอบ เช็กข้อมูล หาประเด็น เชื่อมต่อเนื้อหา โยงเรื่องราว และที่สำคัญที่สุดที่ผมเชื่อว่าขาดไม่ได้เลยนะคือความเป็นมนุษย์ ประสบการณ์เรื่องราวที่ AI สร้างไม่ได้
.
แต่ผมไปเจอบทความหนึ่งของ Burk มาบน Medium ที่บอกว่า ปัญหาที่เงียบกว่าแต่โหดกว่ามาก คืออีกด้านหนึ่งของสมการ ซึ่งผมอ่านไปพยักหน้าตามไป
.
🤖 เขาแย้งว่า AI ยังไม่ได้ทำลายนักเขียน แต่ AI กำลังทำลายนักอ่าน และนั่นอันตรายกว่าเยอะ
.
เพราะอะไร?
.
เพราะตอนนี้โลกออนไลน์กลายเป็นพื้นที่ที่ทุกอย่างคือ “สรุปของสรุปของสรุป”
.
ลองเปิดฟีดของคุณในแอปไหนก็ได้ครับ
.
ทวิตสรุปบทความ บทความสรุปพอดแคสต์ พอดแคสต์สรุปหนังสือ บล็อกสรุปคลิป YouTube แล้วสุดท้าย AI มาสรุปทุกอย่างอีกรอบ
.
🎯 Burk บอกว่าทุกอย่างคือ “summary of a summary of a summary”
.
ผมเรียกมันว่า “การตามข่าวสาร” อย่างเร่งรีบ ตามเพื่อได้ตามจริงๆ ไม่ได้สร้างความเข้าใจหรือเชื่อมโยงเนื้อหา ความเข้าใจเชิงลึก การคิดวิเคราะห์แบบสองชั้น การประมวลผลแบบเข้าใจอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้หายไปหมดแล้ว
.
เราไม่ได้อ่านเพื่อดูว่าใครคิดอะไร เราอ่านเพื่อ “รู้แค่พอเอาไปพูดต่อได้”
.
ในมุมหนึ่งมันก็โอเค แต่ในอีกมุมหนึ่ง…แล้วเราต่างอะไรจาก AI เหรอ?
.
เราอ่านเพื่ออะไรกันนะ? นี่คือคำถามที่เราอาจจะต้องกลับมาถามตัวเองอีกครั้งในยุคนี้
.
AI อย่าง Perplexity, Gemini, ChatGPT เลยกลายเป็นเครื่องจักรสกัด “ใจความสำคัญ” ที่สมบูรณ์แบบ มันเปลี่ยนการอ่านให้กลายเป็นการเลื่อนผ่านข้อมูลอย่างรวดเร็ว แทนที่จะเป็นการอยู่กับมันสักพัก ตกตะกอนกับเนื้อหาแบบยาว ได้ดูดซับเรื่องราวและความรู้สึกเบื้องหลังเนื้อหาเหล่านั้น
.
เราไม่ได้ดูดซึม เราแค่ดูดเอาไปใช้ เร็วที่สุด บ่อยที่สุด และที่เศร้าที่สุดคือบางครั้งมันกลายเป็นแค่เปลือกที่สุดด้วย
.
ผมไม่ได้กำลังจะบอกว่าการอ่านสรุปของสรุปของสรุปไม่มีประโยชน์ ถ้าคุณคิดว่าอ่านเร็วๆ จับใจความ นำไปใช้งานอย่างเร็วๆ ให้จบๆ ไป ก็เพียงพอแล้ว…ซึ่งถ้านั่นคือเป้าหมาย ก็ทำไป
.
เพียงแต่…การอ่านเพื่อได้อ่านจริงๆ…มันกำลังเลือนหายไปแล้ว
.
เมื่อก่อน การอ่านคือการนั่งคุยเงียบๆ ระหว่างคุณกับคนเขียน
.
“ทุกอย่างมันวนกลับมาที่ “การอ่าน” นี่แหละ ครั้งหนึ่ง การอ่านคือบทสนทนาเงียบๆ ระหว่างสองสมอง คุณกับคนเขียนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ข้ามเวลาและระยะทาง แล้วแลกเปลี่ยนความคิดกันผ่านตัวอักษร” Burk อธิบายได้อย่างคมคาย
.
แต่ตอนนี้เราบอกให้ AI ‘สรุปให้หน่อย’ แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองฉลาดขึ้น แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอ? หรือเรากำลังเอาความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไปให้ AI ทำแทนกันนะ?
.
ในฐานะนักเขียนคนหนึ่ง ผมเชื่อว่าทุกคนอยากผลิตผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาให้ผู้อ่านได้อ่านกัน แต่หลังๆ ก็ต้องยอมรับตามตรงครับว่าก็ต้องเล่นกับแมชชีนและอัลกอริทึมหลังบ้านด้วย
.
ต้องมีการปรับโครงสร้างประโยคให้บอตดูง่าย การเติม emoji การวางข้อมูลแบบเป็นก้อนๆ เพื่อให้คนอ่านง่าย มีการเติมคีย์เวิร์ดบางอย่าง พาดหัวให้น่าสนใจ ทำรูปแบบที่เห็นปุ๊บคนอ่านหยุดดู โดยหวังว่าแพลตฟอร์มเหล่านั้นจะช่วยผลักดันงานของเราให้คนเห็น
.
แต่สุดท้ายพอไปถึงคนอ่าน เขาก็อาจจะไม่อ่านก็ได้ เพราะอาจจะรู้สึกว่ายังไม่ได้สรุปเป็นเนื้อหาที่เอาไปใช้ได้เลยทันที ต้องมานั่งทำความเข้าใจซึ่งหลายขั้นตอนเกินไป
.
ผมไม่ได้จะบอกว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นๆ ผมก็เป็นนักอ่านที่ชอบเนื้อหาสรุปแบบนี้เหมือนกัน และพอเห็นอะไรยาวๆ ก็จะรู้สึกว่าต้องใช้พลังงานเยอะจัง เอาไว้ทีหลังดีกว่า
.
แต่นั่นแหละครับ…หลุมพรางที่ผมกำลังพยายามขุดตัวเองออกมา
.
ผมไม่ได้กลัวว่านักเขียนจะหายไป ผมกลัวว่าการอ่านแบบเป็นมนุษย์จะหายไปมากกว่า
.
และผมเองก็กลายเป็นหนึ่งในนั้น
.
หลังๆ มาผมเลยเลือกที่จะอ่านหนังสือเป็นเล่ม ไม่ค่อยสรุปหนังสือแล้ว จะเลือกหยิบประเด็นที่สนใจมาเขียน มาแชร์มุมมองที่ผสมกับเรื่องส่วนตัว เสพโซเชียลน้อยลงเยอะมาก นอกจากว่าต้องใช้มันทำงานจริงๆ เพราะอยากอ่านบทความยาวๆ เรื่องราวที่ลึกและชวนคิดต่อไปอีก

AI กำลังให้รางวัลกับ “ความเร็ว” ไม่ใช่ “ความลึก” ทั้งที่ความจริง การอ่านคือกิจกรรมที่ช้าโดยธรรมชาติ
.
อ่านแล้วหยุดคิด คิดแล้วหยุดอ่าน ย้อนกลับไปอ่านซ้ำเพราะยังไม่เข้าใจ ขีดเส้นใต้ประโยคที่ประทับใจ ไฮไลต์ส่วนที่รู้สึกว่าอยากเอาไปใช้งานต่อ เหมือนการบังคับให้สมองย่อยเนื้อหาอะไรบางอย่าง
.
ไม่ใช่อาหารฟาสต์ฟู้ดที่แค่กินๆ แล้วไปทำงานต่ออย่างเร่งรีบ
.
🤔 ผมเคยคุยกับเซียนมี่ นักลงทุนระดับพันล้านของไทย เขาบอกว่าตอนนี้ AI เก่งมาก แต่เราต้องเก่งกว่า โดยมีสิ่งที่เรียกว่า ‘Critical Thinking’ หรือการคิดเชิงวิพากษ์ (หรือ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ) ซึ่งเป็นทักษะที่ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ข้อมูล ประเมิน และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยข้อเท็จจริงและหลักฐาน
.
เราจะมีทักษะนี้ได้โดยการเสพข้อมูลสรุปมันเป็นไปไม่ได้ ต้องคิดแบบเชิงลึก หาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจ แล้วเอามาประกอบร่างกันเป็นชุดความคิดที่เหมาะสมกับสถานการณ์
.
ตอนนี้ทุกคนเข้าถึง AI ได้หมด สรุปได้หมด ข้อแตกต่างเดียวที่คุณจะทำให้คุณแตกต่างได้คือทักษะนี้แหละ
.
ใครยังคิดเองได้จะมีข้อได้เปรียบ
.
AI ทำให้เราอยู่สบายมาก มันย้อนกลับมาเล่าให้เราฟังทุกอย่างแบบย่อยเสร็จแล้ว แต่ถ้าเราให้มันอ่านและคิดแทนเราไปเรื่อยๆ สุดท้าย…เราจะเป็นแค่แมชชีนอีกตัวที่เอาข้อมูลสรุปโดยแมชชีนไปใช้งานต่อ
.
นั่นแหละครับที่ Burk บอกว่า “AI isn’t replacing writers. It’s replacing readers.”
.
AI ไม่ได้เปลี่ยนคนเขียนให้หายไป มันกำลังเปลี่ยน “วิธีที่เราอ่าน” ให้ตื้นลง แบนลง แปลงทุกอย่างเป็นของว่างคำเล็กๆ ที่เคี้ยวง่าย
.
Burk สรุปเอาไว้ว่า (ซึ่งผมก็เห็นด้วยไม่น้อยเลย)
.
“บางที ในอีกสิบปีข้างหน้า คนที่สำคัญที่สุด อาจไม่ใช่คนที่พิมพ์คำสั่งได้ไวที่สุด หรือสร้างคอนเทนต์ได้เยอะที่สุด แต่อาจเป็นคนกลุ่มเล็กๆ ที่ยังอ่าน ‘จนจบ’
.
เมื่อทุกคนแค่ไถอ่านอย่างผิวเผิน คนที่ยังอ่านจริงๆ จะกลายเป็นสมองที่หายากที่สุด”


อ้างอิง : https://stories.byburk.net/ai-isnt-replacing-writers-it-s-replacing-readers-b51e37752826


ไม่พลาดบทความที่จะช่วยให้คุณเก่งขึ้นจาก Producktivity

เพียงกรอก e-mail ที่ลิงก์นี้ -> Subscribe 📮 <-, รับรองไม่มี Spam แน่นอนครับ

Leave a comment