สำหรับคนที่รักการอยู่บ้านเป็น Homebody อย่างผม คำถามที่มักได้ยินบ่อยๆ คือ “ไม่เหงาเหรอ?”
.
บางคนถึงขั้นแนะนำว่า “ออกมาใช้ชีวิตบ้างเถอะ ชีวิตมีอะไรให้ทำอีกเยอะ”
.
ผมเชื่อเลยว่ามันเป็นคำแนะนำที่เต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง เพราะฉะนั้นเลยไม่เคยโกรธอะไร
.
ต้นตอของปัญหาอย่างหนึ่งอาจจะเป็นที่โลกทุกวันนี้เราได้ยินเรื่อง “Loneliness epidemic” คือ การระบาดของภาวะความเหงา ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและร่างกายของผู้คนจำนวนมากในสังคมปัจจุบัน ได้ยินเรื่องนี้บ่อยจนหลายคนอาจจะเข้าใจผิด
.
ทั้งที่จริง ๆ แล้ว “ความเหงา (loneliness)” กับ “การอยู่โดดเดี่ยวอย่างสงบสุข (solitude)” คือคนละเรื่องกันเลย

😔 หากดูตามตัวเลขสถิติ โลกกำลังเหงาจริง…แต่ไม่ได้แปลว่าคนรักบ้านทุกคนมีปัญหา
.
ปี 2023 แพทย์ใหญ่สหรัฐฯ (U.S. Surgeon General) ออกเอกสารเตือนอย่างเป็นทางการว่า “ความโดดเดี่ยวและการขาดความเชื่อมโยงทางสังคม” คือวิกฤตสาธารณสุขระดับชาติ ทำให้เสี่ยงโรคหัวใจ สมองเสื่อม ซึมเศร้า และอัตราตายก่อนวัยอันควร สูงพอ ๆ กับการสูบบุหรี่วันละ 15 มวนเลยทีเดียว
.
งานสำรวจในสหรัฐฯ ยังพบว่า ประมาณ 1 ใน 5 ของผู้ใหญ่รู้สึกเหงา “เกือบทุกวัน” และอัตรานี้พุ่งขึ้นหลังโควิดอย่างชัดเจน
.
พูดง่าย ๆ คือ “ความเหงา” เป็นเรื่องใหญ่จริง ไม่ใช่แค่ที่คนคิดกันเอง
.
แต่…จากมุมมองนักจิตวิทยา มีอีกกลุ่มหนึ่งที่มักโดนเหมารวมผิด ๆ เสมอ นั่นคือ “คนที่ชอบอยู่บ้าน ชอบอยู่คนเดียวโดยสมัครใจ” และกลุ่มนี้ ไม่ได้แปลว่ากำลังจมอยู่ในความเหงาเสมอไป
❤️ งานวิจัยด้าน “preference for solitude” หรือ “ความชอบอยู่คนเดียว” พบว่า ถ้าคุณเลือกอยู่คนเดียวด้วยเหตุผลที่ดี (ไม่ใช่เพราะถูกกันออกหรือรู้สึกไม่กล้าเข้าสังคม) การอยู่ลำพังสามารถช่วยลดอารมณ์ด้านลบ และส่งเสริมสุขภาวะทางอารมณ์ได้จริง โดยเฉพาะในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่รู้จักตัวเองดีพอแล้ว
.
ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Reading ในอังกฤษก็รายงานคล้ายกันว่า Prof. Netta Weinstein ชี้ว่า “การอยู่คนเดียว” ถ้าเป็นการเลือกด้วยตัวเองและใช้เวลาอย่างมีสติ สามารถช่วยลดความเครียด ทำให้เราได้เป็นตัวเอง และส่งผลดีต่อสุขภาวะได้ ต่างจาก “การถูกบังคับให้โดดเดี่ยว” ที่มักนำไปสู่ความเหงาและความไม่พอใจในชีวิต จึงไม่มีสูตรตายตัวว่าควรใช้เวลาในสังคมหรืออยู่ลำพังแค่ไหน สำคัญคือการใช้ความสันโดษอย่างตั้งใจและให้เหมาะกับตัวเราเอง
.
พูดง่ายๆ คือว่า การเลือกอยู่ลำพังแบบตั้งใจคือเวลาฟื้นฟูพลังงานของจิตใจ ไม่ใช่สัญญาณว่าคุณเป็นคนมีปัญหาเสมอไป
🏡 คนรักบ้านมักไม่ได้เป็นคนปิดกั้นโลก แต่คือคนที่รู้จักตัวเองดีและไม่ต้องใช้การยืนยันจากคนอื่นมาหล่อเลี้ยงตัวตนมากนัก
.
เวลาอยู่ลำพังแบบไม่หนีปัญหา กลายเป็นพื้นที่ให้ได้ฟังเสียงความคิดตัวเอง ฝึกสติ และพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งเชื่อมโยงกับระดับความเครียดที่ต่ำลงและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
.
บ่อยครั้งที่เวลาผมอยู่บ้านเงียบๆ ความเงียบและความเบื่อเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้านกลับเป็นเชื้อไฟให้ความคิดสร้างสรรค์ เพราะสมองไม่ต้องเสียพลังไปกับการอ่านสีหน้าคนอื่นหรือเล่นบทอะไรให้ใครดู จึงมีพื้นที่ “คิดเล่น” และเชื่อมโยงไอเดียใหม่ ๆ ได้อย่างอิสระ
.
พื้นที่ภายในบ้านจึงมักถูกค่อย ๆ ปรับให้กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์ แสงที่ดี ความเป็นระเบียบ และมุมพักผ่อนเล็ก ๆ ช่วยลดความเครียดและเพิ่มความรู้สึกว่า “เราคุมชีวิตตัวเองได้”
.
ข้อหาที่สังคมชอบโยนให้ homebody คือ “เพื่อนไม่เยอะ ชีวิตสังคมน้อย” ซึ่งในเชิงจำนวน…ก็อาจจริงนะครับ
.
แต่ความสัมพันธ์เหล่านั้นมักจะลึกและจริงใจมากขึ้น เพราะไม่ได้คบใครเพื่อหนีความเหงา บ่อยครั้งที่จะปฏิเสธการออกไปข้างนอกเพียงเพราะรู้สึกว่ามันใช้พลังงานมากเกินไป โดยเฉพาะในงานที่ต้องเจอคนเยอะๆ แต่ถ้าเป็นการนั่งดื่มกาแฟ คุยกันลึกๆ แบบนั้นถือว่าเติมพลังได้อย่างดี
.
แต่เอาละ…การอยู่บ้านตลอดก็ไม่ได้ดีเสมอไป หากมันคือการหนีโลกมากกว่าดูแลตัวเอง ถ้าเราอยู่บ้านเพราะกลัวผู้คน กลัวการถูกตัดสิน หรือจมอยู่กับหน้าจอทั้งวันโดยไม่รู้สึกดีขึ้นเลย นั่นคือการหลีกเลี่ยง (avoidance) ไม่ใช่การอยู่โดดเดี่ยวอย่างสงบสุข (Solitude) แบบสุขภาพดี และยังเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตในระยะยาว
.
การเป็น homebody ไม่ได้ทำให้คุณขี้แพ้หรือไม่กล้าใช้ชีวิต มันแค่หมายความว่า “คุณอาจจะเหมือนผมที่เติมพลังชีวิตได้ดีที่สุดเวลาอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง”
.
ตราบใดที่คุณ
- รู้จักตัวเองมากขึ้น
- ใช้ความเงียบเป็นสนามซ้อมความคิดสร้างสรรค์
- เปลี่ยนบ้านให้เป็นที่พักใจ
- เลือกความสัมพันธ์ในชีวิตให้ดี
เพราะฉะนั้นคำถามสำคัญจึงไม่ใช่ “คุณชอบอยู่บ้านไหม” แต่คือ “การอยู่บ้านแบบนี้มันเติมพลังให้คุณจริง ๆ หรือแค่ช่วยให้คุณไม่ต้องเผชิญหน้าโลกเท่านั้น?”
[ #เก่งแบบเป็ด 🦆]
[ Better, Not Done ]

Leave a comment