[ Better, Not Done ]


ผมมีเคล็ดลับจะมาบอก
.
อะไรที่ทำให้ผมสามารถทำงานประจำ เขียนหนังสือและแปลหนังสือจบปีละ 2-3 เล่ม ออกกำลังกายแทบทุกวันไม่เคยขาด มีเวลาอ่านหนังสือจบปีนี้เกิน 52 เล่มไปแล้ว แถมยังมีเวลาอยู่กับครอบครัวไม่เคยขาด
.
.
ก่อนอื่น คุณเคยรู้สึกไหมว่าชีวิตนี้มันต้อง “สุด” ตลอดเวลา?
.
ถ้าจะวิ่ง ก็ต้องวิ่งมาราธอน ถ้าจะเขียนหนังสือ ก็ต้องเขียนให้ได้รางวัลพูลิตเซอร์ ถ้าจะทำงาน ก็ต้องเป็น CEO ระดับโลก เราอยู่ในยุคที่เสพติดความสมบูรณ์แบบ (Perfectionism) จนกลายเป็นโรคจิตอ่อนๆ เรามองคนที่ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ หรือทำแค่พอผ่านว่าเป็นคนขี้เกียจ เป็นพวกไม่เอาไหน
.
แต่ถ้าผมบอกว่าเคล็ดลับของผม (ที่ฟังดูขัดใจสักหน่อย) คือให้เริ่มลงมือทำ “แค่ขั้นต่ำ” (The Minimum) ครับ
.
เดี๋ยววววว อย่าเพิ่งกุมขมับ ฟังผมอธิบายการก่อน เพราะนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะทำให้ชีวิตตัวเองได้เลยนะ
.
ทำไมน่ะเหรอ? เพราะคนส่วนใหญ่ที่มัวแต่ฝันถึงความยิ่งใหญ่ สุดท้ายแล้ว “ไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย” ไงล่ะ
.
ยกตัวอย่างเรื่องการออกกำลังกายครับ ผมตื่นเช้าตั้งแต่ตีห้า ไปวิ่งแทบทุกวัน
.
คนถามผมว่าผมไม่เหนื่อยเหรอ? คำตอบคือ เหนื่อยสิวะ (555) เตียงผมตอนเช้าก็อุ่นเหมือนเตียงคุณนั่นแหละ แต่ผมบอกกับตัวเองว่า แค่วิ่งหน่อยเดียวเอง ชุดก็เตรียมอะไรหมดแล้ว ถ้าไม่ไหวก็หยุด
.
นี่คือการทำ ‘แค่ขั้นต่ำ’ ครับ
.
แต่สุดท้ายคืออะไร…ส่วนใหญ่มันจะวิ่งต่อไปได้เรื่อยๆ เมื่อเครื่องติด มันก็จะวิ่งต่อไป (แต่บางวันที่ไม่ไหว ก็หยุดนะ)
.
งานเขียน งานบริษัท งานบรรยาย ฯลฯ ทุกอย่างเหมือนกัน พอได้เริ่ม มันก็ไปต่อได้ และมักจะทำได้ดีกว่า และมากกว่าขั้นต่ำเสมอ
.
ไรอัน ฮอลิเดย์ (Ryan Holiday) ผู้เขียน The Courage is Calling เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของเรื่องนี้
.
เขาไปวิ่งมาราธอนที่กรีซ บนเส้นทางประวัติศาสตร์ ซึ่งฟังดูเท่ชะมัดยาดเลยถูกไหม?
.
แต่ความจริงคือมันร้อนชิบหายเลย วิ่งไปเกือบจะเป็นลมแดด และเขาก็ไม่ได้วิ่งเร็วเป็นจรวดอะไรขนาดนั้น เขาฝึกเป็นประจำสม่ำเสมอ ทำแค่ขั้นต่ำอยู่ตลอด สิ่งที่เขาทำคือแค่พาตัวเองไปที่นั่น และเริ่มก้าวขาวิ่งออกไปเรื่อย
.
เขาบอกว่า “ผู้คนชอบพูดถึงการทำแค่ขั้นต่ำเหมือนเป็นเรื่องแย่… แต่เดี๋ยวก่อน คนส่วนใหญ่ไม่ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นการทำขั้นต่ำจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี”
.
โครตจริงเลยนะ แค่ขั้นต่ำก็ถือว่ามากแล้ว
.
จำไว้ 1 > 0 เสมอ
.
เราไม่ได้แพ้ตอนกำลังทำ เราแพ้ตอน “ห้านาทีแรกของการเริ่มต้น” ต่างหาก
.
ปัญหามันอยู่ที่อีโก้ เราอาจจะตั้งมาตรฐานไว้สูงเสียดฟ้า ต้องวิ่งให้จบภายใน 3 ชั่วโมง ต้องเขียนให้ได้วันละ 10 หน้า และเมื่อรู้ลึกๆ ว่าทำไม่ได้ ก็เลยเลือกที่จะไม่ทำมันเลย มันคือกลไกป้องกันตัวเองที่โคตรจะไร้สาระ มันคือ Imposter Syndrome ที่บอกว่า “ถ้าฉันทำได้ไม่ดีที่สุด ฉันก็ไม่ควรทำมันเลย”
.
แต่ความจริงคือ กฎของการทำงานสร้างสรรค์หรือการเปลี่ยนแปลงชีวิตมันเรียบง่ายมาก
.
อยากเป็นนักเขียน? เขียนมาสัก 2-3 หน้าห่วยๆ ต่อวันก็พอ ทำไปก่อน แก้ไขต่อไป
.
อยากหุ่นดี? แค่ลุกจากเตียงแล้วออกไปวิ่ง ง่อยๆ 5 นาที 10 นาที ตอนที่คุณไม่อยากวิ่ง
.
ฮอลิเดย์บอกว่า ปรัชญาสโตอิก (Stoicism) ไม่ได้สอนให้คุณเป็นยอดมนุษย์ที่ไร้ความรู้สึก แต่สอนให้คุณทนต่อความยากลำบากเพื่อสิ่งที่สำคัญกว่า
.
Seneca เคยกล่าวไว้ว่า

“ถ้าคุณทำเรื่องยากๆ ความเหนื่อยยากจะผ่านไปเร็ว แต่คุณค่าของมันจะคงอยู่”

ในทางกลับกัน ถ้าคุณเลือกความสบาย (คือการนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย) ความสบายนั้นก็ผ่านไปเร็วเช่นกัน แต่ความละอายใจและความเสียดายจะติดตัวคุณไปตลอด
.
Socrates เคยถามคำถามที่เจ็บแสบว่า “คุณอยากจะใช้ชีวิตจนตายไป โดยไม่รู้เลยเหรอว่าร่างกาย (และจิตใจ) ของคุณทำอะไรได้บ้าง?” การที่คุณไม่ยอมเริ่มทำอะไรเพียงเพราะกลัวว่าจะทำได้แค่ “ขั้นต่ำ” มันทำให้คุณพลาดโอกาสที่จะรู้จักตัวเอง
.
ดังนั้น เลิกพูดเรื่องความสมบูรณ์แบบครับ เลิกบอกว่าตัวเองยังไม่พร้อม พอกันทีกับการเป็นคนที่เอาแต่เตรียมตัวที่จะเริ่มอยู่ตลอดเวลา เพราะเราไม่เคยพร้อมหรอกครับ
.
เริ่มต้นด้วยการทำสิ่งเล็กน้อย ทำสิ่งที่น่ารำคาญ ทำสิ่งที่ยากลำบากในตอนเริ่มต้น
.
ทำแค่ขั้นต่ำนั่นแหละ เพราะถ้าคุณแค่เริ่มลงมือทำ คุณก็นำหน้าคนอื่นไปแล้วมากมาย
.
ความเจ็บปวดจากการลงมือทำนั้นชั่วคราว แต่ความเสียดายจากการไม่ทำอะไรเลยนั้นถาวร
.
ลุยครับ แค่ขั้นต่ำก็พอแล้ว

[ #เก่งแบบเป็ด 🦆 ]
[ Better, Not Done ]


ไม่พลาดบทความที่จะช่วยให้คุณเก่งขึ้นจาก Producktivity

เพียงกรอก e-mail ที่ลิงก์นี้ -> Subscribe 📮 <-, รับรองไม่มี Spam แน่นอนครับ

Leave a comment