ผมมีวิธีที่เร็วที่สุดในการ “ทำให้ชีวิตพังแบบมืออาชีพ” มาฝาก
.
ข้อเดียวเลย ‘เป็นคนไว้วางใจไม่ได้’ หรือ ‘Be Unreliable’
.
ฟังดูเหมือนมุก แต่ในโลกจริง “ความไม่น่าเชื่อถือ” เป็นเหมือนโรคร้ายที่ที่เกิดขึ้นเงียบ ๆ แล้วกัดกินทุกอย่างที่คุณสร้างมา ทั้งงาน ความสัมพันธ์ โอกาส และชื่อเสียง
.
คนจำนวนมากไม่ได้ล้มเพราะไม่ฉลาด ไม่เก่ง หรือไม่มีไอเดีย แต่ล้มเพราะทำให้คนอื่น “คาดเดาไม่ได้” วันนี้บอกอย่าง พรุ่งนี้ทำอีกอย่าง รับปากแล้วหายตัว ส่งงานช้าแบบไม่มีสัญญาณเตือน แล้วค่อยมาปรากฏตัวพร้อมคำว่า “ขอโทษครับช่วงนี้ยุ่ง” ซึ่งฟังครั้งแรกอาจพอเข้าใจ แต่ครั้งที่สามมันจะกลายเป็นนิสัย
.
และนิสัยนี่แหละที่กลายเป็นภาพจำ
.

🐰 ตอนที่เปิดบริษัท ผมมีน้องเมสเซนเจอร์คนหนึ่งที่มาลองงาน เป็นคนทำงานเก่งมาก หัวไว วิ่งงานเร็ว สั่งงานครั้งเดียวทำได้เลย พูดเก่ง เวลาเจอลูกค้านอบน้อมดีเลย
.
ปัญหาอย่างเดียว…ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มึงจะมาทำงานหรือจะลางาน
.
เป็นปัญหาที่ปวดหัวมาก
.
เดี๋ยววันนี้ป่วย อีกวันมาทำงาน วันต่อมาขอเอารถไปเช็กสภาพ อีกวันเดี๋ยวงานแต่งเพื่อนต่างจังหวัด ฯลฯ คือมันจะสลับมาสลับลากันแบบนี้ตลอด
.
ด้วยความที่ไม่ได้เป็นบริษัทใหญ่ เราจะจ้างคนเผื่อเยอะก็ไม่ได้ แล้วงานบริษัทส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำ แทรกด้วยลูกค้าขาจร เพราะฉะนั้นเราพอจะคำนวณปริมาณงานแต่ละวันได้ พอคนขาดคนหนึ่ง งานมันจะไปกระจายโหลดคนอื่นๆ ที่วิ่งงานวันนั้นทันที
.
เรียกมาคุย มาเตือนหลายรอบ แก้ไม่หาย สุดท้ายก็ต้องบอกว่าไม่ผ่านงาน แล้วจากลากัน
.
—-
.
📖 Rolf Dobelli เขียนไว้ในหนังสือ ‘Not To-Do List’ ว่ามีสำนวนเยอรมันที่ใจความประมาณว่า “พอชื่อเสียงพังแล้ว ชีวิตจะทำอะไรก็ได้แบบไม่แคร์”
.
มันอาจจะฟังดูเท่ถ้าคุณอยู่ในหนังหรือกำลังประชดโลก
.
แต่ในชีวิตอยู่จริง คุณจะพบว่าชื่อเสียงไม่ใช่อะไรที่มีไว้ให้คนชม มันคือ “เครดิต” ที่คนอื่นให้คุณยืมในใจเขา
.
ทุกครั้งที่คุณพูดว่า “เดี๋ยวทำให้” คุณกำลังกู้ยืมความไว้ใจมาใช้ล่วงหน้า แล้วคุณต้องคืนด้วยการทำจริง ถ้าไม่คืน ดอกเบี้ยจะไม่ได้มาในรูปเงิน แต่มาในรูปของ “ความระแวง” ที่คนอื่นเริ่มคิดเผื่อคุณทันที และเมื่อความระแวงเกิดขึ้น งานทุกอย่างก็ลำบากมากขึ้นทันที ทั้งสำหรับอีกฝ่ายและสำหรับคุณเองด้วย
.
ดังที่นักลงทุนผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งอย่าง ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) กล่าวไว้ในสุนทรพจน์รับปริญญาที่ Harvard School ในลอสแอนเจลิส ว่า
.
“อย่างแรกเลย จงเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้… ถ้าคุณฝึกนิสัยข้อนี้ให้เชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียว มันจะมากพอที่จะลบล้างผลรวมของคุณงามความดีทั้งหมดที่คุณมี ไม่ว่ามันจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม”
.
แม้มันจะเป็นคำพูดเชิงประชด เพื่อชี้ให้เห็นว่า ความไม่น่าเชื่อถือ สามารถทำลายทุกข้อดีอื่น ๆ ได้อย่างหมดจด แต่มันโคตรจริงเลยนะ
.
เพราะความสามารถอื่น ๆ ของคุณ ความฉลาด มีเสน่ห์ ครีเอทีฟ หรือเก่งแค่ไหน จะถูกนิสัยเดียวหักล้างจนหมด คำว่า “คนนี้พึ่งไม่ได้” จะกลายเป็นประโยคนี้มีพลังพอ ๆ ทำให้คนทั้งวงการหันหน้าหนีได้เลย
.
งานวิจัยด้านบุคลิกภาพกับผลงานการทำงานพบว่า Conscientiousness (ความเป็นคนมีวินัย รับผิดชอบ ทำงานเป็นระบบ) มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการทำงานในหลายอาชีพอย่างสม่ำเสมอ คนที่ทำให้คนอื่น “วางใจได้” มักสร้างผลลัพธ์ได้จริง และยืนระยะได้ยาวกว่า
.
—-
.
คำถามคือ แล้วจะ “น่าเชื่อถือ” แบบทำได้จริงๆ ยังไง?
.
ผมว่าเริ่มจากการลดการรับปากก่อน คนส่วนใหญ่ไม่ได้พังเพราะขี้เกียจ แต่พังเพราะปากไว การพูดว่า “เดี๋ยวทำให้” มันง่ายและทำให้คุณดูเป็นคนใจดี ทว่ามันเป็นความใจดีที่มักทิ้งซากไว้ข้างหลัง อาจจะลองพูดให้ช้าลงหนึ่งจังหวะ เช่น “ขอเช็กเวลาแล้วตอบกลับวันนี้” หรือ “ทำได้ แต่ขอเป็น xxx” ฟังดูแข็งขึ้นนิด แต่จริง ๆ มันคือการเคารพทั้งคนอื่นและตัวคุณเอง เพราะมันทำให้คำสัญญามีโอกาสเป็นจริงได้มากขึ้น
.
ต่อมาคือทำให้คำสัญญา “มีขอบเขต” คำว่า “เร็ว ๆ นี้” หรือ “เดี๋ยวส่งให้นะ” คือหลุมดำที่ดูดความไว้ใจไปเรื่อย ๆ แต่ไม่เคยกลายเป็นผลลัพธ์ออกมาเลย
.
เปลี่ยนมันเป็นเวลาที่จับต้องได้ เช่น “พรุ่งนี้ 16:00 ส่งร่างแรก” หรือ “ภายในศุกร์นี้ขอสรุปเป็นรายงานสั้นๆ ให้ครับ” ความชัดเจนเป็นเหมือนเส้นตาย มันบังคับให้คุณวิ่งและมีเป้าหมาย และทำให้คนอื่นไม่ต้องนั่งเดาด้วยว่าเมื่อไหร่หว่า
.
ที่สำคัญคือสื่อสารก่อนพัง ไม่ใช่หลังพัง คนไม่ได้เกลียดคุณเพราะงานช้า คนเกลียดคุณเพราะคุณเงียบ แล้วปล่อยให้เขาเดาเองมากกว่า
.
ถ้ารู้แน่แล้วว่าเลทแน่นอน บอกให้เร็วเลย พร้อมแผนใหม่ที่ชัด “วันนี้ไม่ทัน เพราะติด X ขอเลื่อนเป็นพรุ่งนี้ 11:00 และจะส่งเวอร์ชันที่ทำได้ก่อน” ประโยคแบบนี้ทำให้คนยังเชื่อใจคุณได้ แม้สะดุด เพราะมันแปลว่าคุณไม่ลืมนะเว้ย ไม่ได้ทิ้งกำลังทำอยู่นะ
.
จากนั้นคือยอมรับความจริงว่า ถ้าคุณเป็นคนลืมง่าย วอกแวกง่าย หรือมีงานเยอะ การแค่ “ตั้งใจให้มากขึ้น” ไม่พอนะ ต้องหาระบบมาช่วย จะทำ To-do List หรือ Timeboxing เช็กลิสต์ อะไรก็ได้ที่ทำให้การรักษาคำพูดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอัตโนมัติ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องฝากไว้กับอารมณ์และแรงฮึด
.
สุดท้ายคืออย่ามองข้าม “เรื่องเล็กๆ” ครับ
.
เพราะความไว้ใจไม่ได้เกิดจากคำสัญญาใหญ่ ๆ แต่มาจากการส่งไฟล์งานตรงเวลา 10 ครั้งติด ตอบกลับตามที่บอก 10 ครั้งติด ทำสิ่งเล็ก ๆ ให้ตรงแบบเดิมซ้ำ ๆ จนคนอื่นเริ่มรู้สึกว่า “คนนี้สบายใจที่จะพึ่งพาได้”
.
และเมื่อความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น โอกาสดี ๆ จะมาหาคุณเองง่ายขึ้น
.
อีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือนี่พังง่ายมากนะครับ อย่างที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) บอกเลยว่า “เราใช้เวลา 20 ปีในการสร้างชื่อเสียง แต่เราสามารถทำลายมันได้เพียง 5 นาที”
.
บอกเลยในโลกของการทำงาน คนไม่ได้เลือกคนที่เก่งที่สุดเสมอไป แต่เลือกคนที่เก่งมากพอที่ทำให้เขานอนหลับได้สบายที่สุด (อย่างน้องในทีมคนนั้นทำให้ผมนี่ต้องเช็กมือถือทุกเช้า อย่างเครียดเลยนะ)
.
สรุปเลยคือถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิต อย่าไปเพิ่งเริ่มจากทักษะลับหรือคอร์สแพง ๆ ให้เริ่มจากสิ่งที่คนอาจมองข้ามที่สุดอย่างการทำสิ่งที่คุณพูดว่าจะทำให้ได้จริง
.
มันไม่เท่นะ แต่มันทรงพลังมากเลย
.
(ว่าแล้วก็ไปทำงานต่อดีกว่า 😅)
[ #เก่งแบบเป็ด 🦆 ]
[ Better, Not Done ]

Leave a comment