[ Better, Not Done ]

บางที “ทางเลือกยาก ๆ” ในชีวิตไม่ได้ยากเพราะคุณตัดสินใจไม่เก่งหรือยังคิดไม่รอบคอบพอ แต่มันยากเพราะคุณแอบหวังอยู่ลึก ๆ ว่ามันต้องมี “ทางเลือกที่ไม่ต้องแลกอะไรเลย” ซ่อนอยู่
.
คุณอยากลาออกจากงานที่บั่นทอนใจ แต่ก็กลัวรายได้หาย
.
คุณอยากจบความสัมพันธ์ที่มันไม่ไหวแล้ว แต่ก็กลัวความเจ็บปวดและสายตาคนอื่น
.
คุณอยากย้ายประเทศ เปลี่ยนอาชีพ เริ่มธุรกิจ กลับไปเรียนต่อแต่คุณก็อยากให้ทุกอย่าง “ปลอดภัย” พร้อมกันหมด
.
เคยให้คำปรึกษาเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาอยากจบความสัมพันธ์กับแฟน เพราะไม่ได้รู้สึกกับเธอแบบคนรักอีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากเสียเธอไป อยากเป็นเพื่อนกันอยู่ (เฮ้ออออ…)
.
ผมบอก “อย่างแรกมึงควรไปบอกเลิกกับเขาตรงๆ ส่วนที่เหลือเขาจะอยากเป็นเพื่อนมึงไหม อันนั้นให้เขาตัดสินใจ และมึงต้องยอมรับให้ได้ ถ้าเขาไม่ได้อยากคบหามึงแล้ว”
.
บ่อยครั้งเราพยายามคิดอีกถึงทางออกที่สาม ที่ได้ “ทุกอย่าง” ที่เราต้องการ แต่นั่นก็แค่กาาหลบเลี่ยงการเผชิญหน้าความจริงเท่านั้น
.
Oliver Burkeman (ใน Meditations for Mortals) พูดถึงเรื่องนี้ว่าสำหรับชีวิตของมนุษย์ที่มีเวลาจำกัด เราไม่มีคำว่า “อิสระจากข้อจำกัด” มีแค่อิสระภายใต้ข้อจำกัด และอิสระนั้นหน้าตาประหลาดมาก มันคือการยอมรับว่าทุกทางเลือกมีต้นทุน แล้วเลือก “ต้นทุนที่คุณยอมจ่าย” ให้ได้
.
พูดอีกอย่างคือ
.
คุณเลือกไม่ได้ว่าจะเจ็บหรือไม่เจ็บ
แต่ “ความเจ็บแบบไหน” ที่คุณพร้อมจะเลือกมากกว่า
.
เราอยากได้ความฝันแบบไม่เสียอะไรเลย
.
ความสำเร็จแบบไม่เหนื่อย
ความรักแบบไม่ต้องคุยเรื่องยาก ๆ
อยากลงทุนได้เงินเยอะๆ แบบไม่ต้องเสี่ยง
ความมั่นคงแบบไม่ต้องแลกอิสระ
.
แต่ชีวิตไม่ได้ทำงานแบบนั้นเฮ้ย!!
.
นักเศรษฐศาสตร์ Thomas Sowell เคยสรุปไว้ได้ดีมากว่า
.
“ไม่มีทางออก มีแต่สิ่งที่ต้องแลก”
.
และนั่นคือประเด็นของ Burkeman เช่นกัน
.
“ทางออกเดียว” คือ “การแลกเปลี่ยน” ที่คุณรับได้
.
ปัญหาคือ เราไม่ชอบคิดถึงชีวิตในกรอบของการแลกเปลี่ยน เราเลยหนีไปใช้ประโยคที่ใช้กันบ่อยๆ อย่าง “ไม่มีทางเลือก”
.
เพราะทันทีที่คุณพูดแบบนั้น คุณไม่ต้องรับผิดชอบ คุณไม่ต้องเป็นคนเลือก คุณไม่ต้องเป็นคนทำให้ใครผิดหวัง และที่สำคัญ คุณไม่ต้องยอมรับว่าถ้าผลลัพธ์มันแย่…คุณมีส่วนร่วมกับมันด้วย
.
แต่ในความสบายใจแบบนั้นมีราคาของมันเหมือนกัน ราคาคือการยกพวงมาลัยชีวิตให้ความกลัวเป็นคนขับ ปล่อยให้เวลาและสถานการณ์ตัดสินใจแทนคุณ และค่อย ๆ เชื่อว่าตัวเองเป็นเหยื่อ ทั้งที่ในความเป็นจริง คุณยังมีอำนาจเลือกอยู่เสมอ
.
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราติดแหง็กอยู่หน้าทางแยกก็เพราะสมองมนุษย์ไม่เก่งเรื่องตัวเลือกเยอะ งานวิจัยคลาสสิกของ Sheena Iyengar และ Mark Lepper เคยแสดงให้เห็นว่า ยิ่งมีตัวเลือกมาก คนยิ่งรู้สึกเหมือนมีอิสระ แต่กลับตัดสินใจจริงได้น้อยลง ตัวเลือกเยอะไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเสมอไป บ่อยครั้งมันแค่ทำให้เรา “ไม่ทำอะไรเลย” แล้วเรียกมันว่า “กำลังคิดอยู่”
.
และถ้าคุณเป็นคนที่อยากได้คำตอบที่ดีที่สุดตลอดเวลา คุณอาจกำลังติดกับดักของการเป็น maximizer หรือคนที่พยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในทุกเรื่อง งานวิจัยของ Barry Schwartz ชี้ว่าคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะรู้สึกเสียดายและไม่พอใจกับชีวิตมากกว่าคนที่เลือกแบบ “ดีพอ” แล้วเดินหน้าต่อ เพราะการพยายามไม่พลาดอะไรเลย มักลงเอยด้วยการไม่กล้าตัดสินใจสักอย่าง
.
ถ้าอยากหลุดออกจากวงจรนี้ วิธีคิดที่ช่วยได้ไม่ใช่การหาทางเลือกที่สามที่ไม่เสียอะไรเลย แถมยังได้ทุกอย่างที่ต้องการ แต่คือการถามคำถามที่ตรงกว่าเดิม ลองมองแต่ละทางเลือกในชีวิตไม่ใช่ในแง่ของ “ฉันอยากได้อะไร” แต่ในแง่ของ “ฉันยอมจ่ายอะไรได้”
.
บางทางเลือกต้องจ่ายด้วยเงิน
บางทางต้องจ่ายด้วยเวลา
บางทางต้องจ่ายด้วยความไม่สบายใจ
บางทางต้องจ่ายด้วยการยอมให้ใครบางคนผิดหวัง รวมถึงคนที่คุณรัก หรืแแม้แต่ตัวคุณเองด้วย
.
แม้แต่การ “ไม่เลือก” ก็ไม่ใช่ทางหนี เพราะมันก็มีราคาของมันเหมือนกัน
.
ราคาของความค้างคา ความรู้สึกติดอยู่กับที่ ความไม่พอใจที่สะสมเงียบ ๆ จนวันหนึ่งมันแพงกว่าที่คุณคิด
.
เมื่อคุณมองชีวิตแบบนี้ สิ่งที่ต้องทำต่อไปไม่ใช่การหาคำตอบที่สมบูรณ์แบบ แต่คือการยอมรับคำตอบที่ “รับผิดชอบได้”
.
เลือกความเหนื่อยที่คุณพอจะอยู่กับมันได้ในระยะยาว แล้วกล้าปิดประตูบางบาน เพราะความสงบไม่ได้เกิดจากการเปิดทุกความเป็นไปได้ไว้ตลอดชีวิต มันเกิดจากการยอมสูญเสียบางอย่าง เพื่อรักษาสิ่งที่สำคัญกว่า
.
สุดท้าย อย่างที่ Burkeman บอกครับว่า “คำถามเพียงสองข้อ ณ ขณะใดๆ ที่ชีวิต ต้องเลือกก็คือ อะไรคือราคาที่ต้องจ่าย และมันคุ้มค่าที่จะจ่ายหรือไม่”
.
ทีนี้เวลาบอกว่า “ฉันไม่มีทางเลือก” ต้องกลับมาถามตัวเองแล้วว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือเราแค่คิดว่ายังไม่พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนหรือลงมือทำบางอย่างเพราะไม่อยากเผชิญหน้าผลลัพธ์ที่จะตามมา

[#เก่งแบบเป็ด 🦆]

[ Better, Not Done ]


ไม่พลาดบทความที่จะช่วยให้คุณเก่งขึ้นจาก Producktivity

เพียงกรอก e-mail ที่ลิงก์นี้ -> Subscribe 📮 <-, รับรองไม่มี Spam แน่นอนครับ

Leave a comment