ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นฉบับล่าสุดและสุดท้ายของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) มีส่วนหนึ่งที่กินใจมาก เขาบอกว่า
.
“ข้อสังเกตหนึ่งที่อาจจะฟังดูเหมือนเตือนใจตัวเองด้วยซ้ำ ผมรู้สึกดีที่ได้บอกว่า ผมพอใจกับช่วงครึ่งหลังของชีวิตมากกว่าครึ่งแรก คำแนะนำของผมคือ อย่าตีตัวเองจากความผิดพลาดในอดีต จงเรียนรู้อย่างน้อยสักเล็กน้อยจากมัน แล้วเดินหน้าต่อไป มันไม่เคยสายเกินไปที่จะดีขึ้น
[…]
จำเรื่องของ อัลเฟรด โนเบล ได้ไหม? คนที่ภายหลังกลายเป็นชื่อของรางวัลโนเบล ว่ากันว่าเขาเคยได้อ่านข่าวมรณกรรมของตัวเองที่หนังสือพิมพ์ลงผิด เพราะเข้าใจว่าพี่ชายของเขาเป็นคนตาย เขาตกใจสุดขีดเมื่อเห็นสิ่งที่ผู้คนคิดและเขียนถึงตัวเอง และนั่นทำให้เขารู้ว่า เขาควรใช้ชีวิตให้ต่างออกไป
อย่ารอให้เกิดความผิดพลาดแบบนั้นเลย จงตัดสินใจเสียตั้งแต่วันนี้ว่า คุณอยากให้คนเขียนถึงคุณว่าอย่างไรเมื่อคุณจากไป แล้วก็ใช้ชีวิตให้สมกับคำเหล่านั้น”

มีคำแนะนำจากบัฟเฟตต์มากมายที่ควรถูกบันทึกเอาไว้ให้คนรุ่นหลัง แต่ผมรู้สึกว่านี้น่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญลำดับต้นๆ เลย “มันไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะดีขึ้น” และ เลือก “คำไว้อาลัยของตัวเอง”
.
มันอาจจะฟังดูเศร้าๆ นะ แต่จริง ๆ แล้ว มันคือบทเรียนเรื่องการใช้ชีวิตแบบมีสติที่ทรงพลังที่สุดข้อหนึ่งเลย
.
🧨 ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 19 อเมริกาต้องการเชื่อมพื้นที่ในทวีปโดยเจาะอุโมงค์ด้วยการระเบิดภูเขาหิน แต่มีปัญหาอยู่หนึ่งอย่าง ระเบิดที่ทรงพลังที่สุดในตอนนั้นคือไนโตรกลีเซอรีน มันมีลักษณะเป็นของเหลวและมีความเสถียรต่ำมากแค่ได้รับแรงกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อยก็จะระเบิดทันที
.
นักประดิษฐ์คนหนึ่งที่ชื่อ “อัลเฟรด โนเบล” กำลังหมกมุ่นอยู่กับการทำให้โลกดีขึ้น เขาเป็นนักเคมีผู้เชื่อในความก้าวหน้า เขาอยากให้คนงานในเหมืองหรือการก่อสร้างมีเครื่องมือระเบิดหินที่ปลอดภัยกว่า
.
และเขาก็ทำได้ โนเบลค้นพบวิธีผสมในโตรกลีเซอรีนเข้ากับดินบางชนิดเพื่อทำให้มันมีลักษณะเหนียวข้น ดินระเบิดนี้มีความเสถียรและจะไม่ระเบิดหากไม่ถูกจุดชนวน กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ไดนาไมต์”
.
เขาภูมิใจมาก เพราะในสายตาของเขา มันช่วยชีวิตคนงานจำนวนมาก แต่วันหนึ่งหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสเขียนคำอาลัยถึงเขา โดยเข้าใจผิดว่าตายแล้ว (จริง ๆ คือพี่ชายของเขาเสียชีวิต)
.
พาดหัวข่าวใหญ่เขียนว่า “อัลเฟรด โนเบล พ่อค้ามัจจุราช เสียชีวิตแล้ว” และในเนื้อข่าวยังบรรยายว่า “ชายผู้ร่ำรวยจากการคิดค้นวิธีฆ่าคนจำนวนมากขึ้นในเวลาที่รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม”
.
ลองจินตนาการดูสิ คุณตื่นเช้ามา แล้วได้อ่านคำไว้อาลัยของตัวเอง แต่มันไม่ได้พูดถึงความดี ความตั้งใจ หรือความพยายามของคุณเลย มีแต่ “สิ่งที่โลกเห็น”
.
โนเบลช็อกมาก เพราะเขาเชื่อมาโดยตลอดว่าตัวเองคือผู้ช่วยมนุษยชาติ แต่โลกกลับมองว่าเขาเป็นปีศาจ
.
📄 แต่หลังจากนั้นเขาทำสิ่งที่น่าทึ่งมาก คือลงมือเปลี่ยนแปลง ตัดสินใจเขียน “คำไว้อาลัย” ของตัวเองขึ้นมาใหม่ ด้วยการตั้งรางวัลโนเบล โดยในแต่ละปีจะมีการมอบรางวัลในสาขาฟิสิกส์ เคมีการแพทย์ วรรณกรรม และรางวัลพิเศษคือ “รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ”
.
และทุกวันนี้ชื่อของเขาถูกจดจำในฐานะ “ผู้ให้รางวัลโนเบล” ไม่ใช่ “พ่อค้ามัจจุราช” นั่นคือการเขียนตอนจบของชีวิตด้วยมือตัวเอง
.
บัฟเฟตต์พูดถึงโนเบลในจดหมายฉบับสุดท้ายของเขาเพื่อเตือนเราทุกคน ว่าอย่ารอให้ใครมาบอกว่า “เราคือใคร” เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเราเอง
.
“จงตัดสินใจเสียตั้งแต่วันนี้ว่า คุณอยากให้คนเขียนถึงคุณว่าอย่างไรเมื่อคุณจากไป แล้วก็ใช้ชีวิตให้สมกับคำเหล่านั้น”
.
ไม่ใช่เพื่อให้เรากลัวความตายที่กำลังจะมาถึง แต่เพื่อให้เรากล้าจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับเวลาที่เหลืออยู่ ตามเป้าหมายของตัวเราเองจริงๆ เพราะความยิ่งใหญ่ในแบบของบัฟเฟตต์ไม่ได้มาจากเงิน ชื่อเสียง หรืออำนาจ แต่มาจากสิ่งที่เขาเรียกว่า “ความเมตตาไม่ต้องใช้เงินซื้อ แต่มีค่าประเมินไม่ได้”
.
ลองถามตัวเองดูว่า ถ้าพรุ่งนี้หนังสือพิมพ์เขียนข่าวคำไว้อาลัยของคุณ มันจะพูดถึงอะไร?คุณจะภูมิใจไหมกับคำเหล่านั้นรึเปล่า? หรือมันจะเหมือนกับโนเบล ที่ต้องอ่านแล้วตกใจว่า “นี่คือสิ่งที่คนจดจำฉันงั้นเหรอ?”
.
ข่าวดีคือเราทุกคนยังมีเวลาครับ
.
เราอาจไม่สามารถลบอดีตได้ แต่เราสามารถเขียนตอนต่อไปได้เสมอ
.
คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโลกชั่วข้ามคืน ไม่ต้องสร้างรางวัลโนเบลอะไรหรอก แค่ลองเริ่มทำสิ่งที่ถูกต้องกับคนรอบตัว ช่วยเหลือคนอื่น มีเมตตา ไม่เอาเปรียบ เป็นเพื่อนที่ดี คนที่ดีของสังคม เราเปลี่ยนแปลงได้
.
เราไม่รู้ว่าหรอกว่าเหลือเวลาอีกเท่าไร แต่แน่ ๆ อย่างน้อยมี “วันนี้” เพื่อเริ่มต้นเขียนตอนจบใหม่ของตัวเองได้
.
อย่ารอให้ใครมาเขียนคำไว้อาลัยให้คุณ เขียนมันเอง ด้วยวิธีที่คุณใช้ชีวิตในทุก ๆ วันต่อจากนี้
.
(ผมจะคิดถึงจดหมายของปู่บัฟเฟตต์อย่างแน่นอน)

อ้างอิง : https://www.berkshirehathaway.com/news/nov1025.pdf
[#เก่งแบบเป็ด 🦆]
[Getting Better One “QUACK” At A Time]
Leave a comment