คิดอยู่สักพักแล้วว่าจะแชร์เรื่องนี้ เพราะหัวข้อมันอาจจะดูแปลกสักหน่อย อะไรวะ “เลือกใช้ชีวิตที่น่าเบื่อ” จะมาแชร์อะไรจริงไหม?
.
แต่ในยุคที่ทุกอย่างต้องรวดเร็ว ต้องคูล ต้องว้าว ต้องมีอะไรให้เล่าในวงสนทรนาหรือโพสต์อวดลงโซเชียลทุกสัปดาห์ แต่ความจริงคือ…ผมเคยลองแล้วไอ้ชีวิตแบบนั้นอยู่ช่วงหนึ่งตอนอยู่มหาวิทยาลัยแรกๆ ด้วยความที่อยู่ต่างบ้านต่างเมือง พ่อแม่ไม่ได้มาตามดู ไม่ต้องรายงานอะไรใครด้วย ยิ่งง่ายเลย แต่รู้สึกว่ามันไม่เวิร์กเท่าเหล่าไหร่แฮะ มันแค่ทำให้ผมเหนื่อยสุดๆ ไปเลย
.
ไปเรียนก็ไม่รู้เรื่อง ปวดหัว ทำงานเสริมก็ไม่ดี ไม่มีสมาธิ อารมณ์เสีย หงุดหงิดทั้งวัน และรู้สึกเหมือนต้องใช้พลังทั้งชีวิตเพื่อตามให้ทันความคาดหวังของคนอื่น จนลืมถามตัวเองว่าจริง ๆ ผมต้องการอะไรกันแน่
.
จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนชื่อเดวิดซึ่งเป็นมนุษย์สายชิล (อาจจะเรียกว่าสายเขียวก็ได้แหละ) ชวนผมไปเที่ยวที่บ้านช่วงวันหยุด ผมนี่โครตตื่นเต้นเลยเพราะบ้านมันติดทะเลสาบ มีเรือลำเล็กๆ ที่ออกไปขับได้ คิดในใจวันนั้นคงปาร์ตี้สุดเหวี่ยงแน่นอนเลย
.
แต่ผิดครับ…มันนั่งดูทะเลสาบทั้งวันเลย (55555 กูปวดหัว) สั่งพิซซ่ามากิน เอาเก้าอี้พับมานั่งข้างทะเลสาบ หยิบหนังสือมาอ่าน ชวนคุยเรื่องปรัชญาชีวิต ฟิสิกส์ มังงะ และอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะมากมาย เอาเป็นว่าห่างไกลจากความสุดเหวี่ยงคนละขั้วเลย
.
แต่เฮ้ย…ผมมีความสุข แบบถ้าเต็ม 10 ตอนนั้นคือ 100 เลย สมองเบาโล่ง ถอดรองเท้าเดินบนหญ้า แสงแดดอ่อนๆ บทสนทนาที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ ผมถึงได้เริ่มคิดว่า บางทีชีวิตที่ดีมันอาจไม่ได้เริ่มจากความว้าว…แต่มาจากความ “ว่าง” ต่างหาก
.
ว่างจากเสียงรบกวน ว่างจากความคาดหวังของโลก ว่างจากความรู้สึกว่าต้องพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลา ผมเลยเริ่มเปลี่ยน ลองเลือกความเงียบมากกว่าเสียงดัง เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความหวือหวา เลือกอยู่บ้านมากกว่าออกไปใช้เงินสุดเหวี่ยง ออกไปหาธรรมชาติ เริ่มเดินป่า เริ่มออกกำลังกาย เริ่มอ่านหนังสือ และใช้ชีวิต ‘น่าเบื่อ’ มากขึ้น
.
และสุดท้ายก็ตกใจว่าชีวิตแบบนี้ ชีวิตที่คนเรียกว่า “น่าเบื่อ” มันกลับเติมเต็มผมได้มากกว่าสิ่งที่ผมเคยตามหามาทั้งหมด

ความจริงคือหลายคนโตมากับความคิดว่า ต้องกล้าบ้าบิ่น ต้องหาความท้าทาย ต้องทำอะไรที่เสี่ยง ๆ บ้างเพื่อพิสูจน์ความเจ๋ง ว่าใช้ชีวิตคุ้ม ซึ่งถ้าคุณคิดแบบนั้นก็ไม่ได้ผิดอะไรนะครับ แต่ผมน่าขะไม่ใช่คนประเภทนั้นตั้งแต่แรก ยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น ผมไม่รู้สึกว่าการกระโดดลงน้ำลึกจากหน้าผาหรือขี่มอเตอร์ไซค์เร็ว ๆ ทำให้ตัวเองใช้ชีวิตคุ้มขึ้นเลย มันแค่ทำให้อยากซื้อประกันชีวิตเพิ่มอีก (55555)
.
บอกตรง ๆ ผมชอบความสบาย ชอบความสงบมากกว่า และชอบที่ไม่ต้องทำอะไรเสี่ยงจนตัวเองเจ็บหรือกระเป๋าตังค์พัง (แค่นิ้วก้อยเตะขาเก้าอี้ก็ทรมานมากพอแล้ว) ผมปล่อยให้คนที่คลั่งความตื่นเต้นเก็บคะแนน YOLO กันไปเถอะ ส่วนผมขอเก็บแต้มการนอนเต็มอิ่ม 7-8 ชั่วโมงแทน
.
เรื่อง FOMO นี่น่าสนใจนะ เพราะคนมักจะ “กลัวพลาด” เวลาเห็นเพื่อนออกไปปาร์ตี้ เที่ยวเมืองนอก หรือลงสตอรี่กินข้าวร้านแพง ๆ เพราะมันฟังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย? เอาจริงๆ นะ พอเริ่มตัดใจ เลิกฝืนตัวเอง และอยู่บ้านในคืนวันศุกร์ ผมพบความจริงแบบโคตรง่ายว่า…ผมไม่ได้พลาดอะไรเลย นอกจากเสียงดัง ๆ กลิ่นบุหรี่ และการกลับบ้านตีสองแบบหมดแรง เพราะนั่นไม่ใช่ตัวตนของผมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
.
ผมกลับได้อย่างอื่นแทน ความสงบ ความคิดที่ตกตะกอนหลายอย่าง โมเมนต์เล็ก ๆ ที่ชีวิตจริงมันเกิดขึ้น เช่น การชวนเพื่อนมานั่งกินสุกี้ที่บ้าน เล่นเกมกัน วันหยุดออกไปปั่นจักรยานที่สวนสาธารณะ อ่านหนังสือ บางวันว่างๆ ซักผ้า จัดโต๊ะทำงานใหม่แบบเนิร์ด ๆ หรือการนั่งเงียบ ๆ คนเดียวโดยไม่รู้สึกผิด ตลกดีนะ ที่สิ่งที่เคยดู “น่าเบื่อ” กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีที่สุดตอนเป็นผู้ใหญ่
.
แล้วความน่าเบื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุด รูทีนประจำวัน ก็กลายเป็นเคล็ดลับในชีวิตผมด้วยนะ
.
วันก่อนเพิ่งฟังเรื่อง Routine ของ Saitama ที่แอดทอยพูดบนเวที WLF เลยมานั่งดูของตัวเองหน่อย
.
ตื่นตี 5 – 5:30
วิ่ง 60-90 นาที (ยกเว้นเช้าหลังจากคืนที่มีบอลหรือเดินทาง)
อ. พฤ ส weight training 60 นาที (ยกเว้นเดินทาง)
อ่านหนังสือ 60-90 นาที (ก่อนเข้างาน)
เขียนหลังเลิกงาน (ที่ไม่ใช่งานบริษัท) 1-2 ชั่วโมง
แปล 1 ชั่วโมง
นอน 7 ชั่วโมง
.
เสาร์อาทิตย์ส่วนใหญ่จะพัก อยู่กับครอบครัวล้วนๆ
.
รูทีนนี้เพิ่งมาลงตัว ถือว่าค่อนข้างลงตัว ผลงานบริษัทถือว่าเยี่ยม ไม่ขาดตกบกพร่อง ออกหนังสือและแปลหนังสือมาเฉลี่ยปีละ 2-3 เล่ม อ่านหนังสือได้เกินเป้าปีละ 52 เล่มแล้วปีนี้
.
ผมตื่นเวลาเดิมทุกวัน อ่านหนังสือเวลาเดิม ทำงานเวลาเดิม ออกกำลังกายเวลาเดิม เสื้อผ้าก็ชุดเดิม และกลับบ้านเวลาเดิม ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกชอบความจำเจอะไรขนาดนั้น แต่เพราะความคงที่มันช่วยให้สมองผมไม่เดินออกนอกเส้นทางไปไกลเกินไป ยิ่งรูทีนชัด ชีวิตก็ยิ่งสงบขึ้น ไม่ต้องคอยเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องปรับตัวตลอดเวลาแบบนั้น สิ่งที่ตามมาคือสมาธิครับ การโฟกัส ชอบคิดงานต่างๆ และที่สำคัญไม่รู้สึกเหมือนถูกชีวิตไล่ต้อนให้ต้องทำอะไรอยู่ตลอดเวลา
.
และอีกอย่างสำหรับผมชีวิตที่น่าเบื่อมันประหยัดเงินมากๆ เลยนะ สมัยตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ เงินหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ทำงานหาเงินจ่ายค่าปาร์ตี้ ค่าดื่ม ค่าเที่ยว ค่าอาหารราคาไม่สมเหตุสมผลในร้านดังๆ พอไม่ต้องวิ่งตาม เงินก็ไม่ค่อยรั่ว (ตอนนี้ไปรั่วกับพวก Gadget แทน 555) แต่พอเห็นยอดบัญชีค่อยๆ โต ก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตไม่ค่อยเหนื่อย อาจจะลดเวลาทำงานลงได้บ้าง เอาเวลาไปเติมความสุขชีวิตแบบอื่นแทน
.
และสุดท้าย สิ่งที่ผมรักที่สุดในชีวิตที่โคตรน่าเบื่อนี้ คือ “ความชัดเจนในหัว” เราติดนิสัยยัดทุกอย่างเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะงาน ความสัมพันธ์ ความคาดหวัง หรือความอยากเป็นใครสักคนจนหัวมันตึงตลอดเวลา แต่พอเลือกเส้นทางที่เรียบง่ายขึ้น เงียบขึ้น ความคิดผมก็ชัดขึ้นนะ รู้ตัวว่าต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร และอะไรคือสิ่งที่ทำให้เป็นตัวเองจริง ๆ ไม่ใช่เวอร์ชันที่โลกอยากให้เป็น
.
เอางี้…ผมไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องใช้ชีวิตแบบผมนะ อยากสุดเหวี่ยงก็ทำเถอะ แต่สำหรับใครก็ตามที่ (เชื่อว่ามีไม่น้อยนะ) ที่เหนื่อยกับความคาดหวังจากโลก ความวุ่นวายแบบไม่หยุดพัก และความรู้สึกว่า “ต้องทำตัวเจ๋งตลอดเวลา” ชีวิตที่เรียบง่ายแบบนี้อาจจะเป็นยาที่รักษาหัวใจได้ดีไม่น้อย
.
ชีวิตที่ไม่ต้องรีบโต ไม่ต้องรีบโชว์ ไม่ต้องรีบเป็นอะไรเลยก็ได้นะ แค่ลองซื่อสัตย์กับตัวเองและมีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ ที่คนอื่นมองข้ามไปก็ได้
.
และถ้าใครบอกผมว่ามัน “น่าเบื่อ”? มันน่าเบื่อจริงแหละ
.
แต่ผมบอกเลยว่านี่แหละความน่าเบื่อที่ผมเลือกด้วยความเต็มใจและมันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่ผมเคยทำในชีวิตเลย
.
เดวิดบอกผมว่า “โลกรีบพอแล้ว แต่เราเลือกได้ว่าจะรีบตามโลกรึเปล่า”
.
ปล. เรื่องความตื่นเต้นในชีวิตผมก็เติมๆ บ้างนะ แต่จะเป็นเรื่องที่อยากทำจริงๆ เช่นไปเที่ยวที่ใหม่ๆ ลองร้านอาหารที่อยากชิม เกมที่อยากเล่น หนังสือที่อยากอ่าน กิจกรรมที่อยากทำ (ขนาดความตื่นเต้นยังน่าเบื่อเลยนะเนี้ย 555)

Leave a reply to Uncle Space Mart Cancel reply